Monday, March 28, 2016

จากอ่าวเปอร์เซียถึงทะเลสาบแคสเปียน

โครงการสร้างคลองลัดของอิหร่านจากอ่าวเปอร์เซียไปยังทะเลสาบแคสเปียน
26/3/2016
ดูเหมือนว่าสหรัฐฯจะเป็นห่วงโครงการคลองลัดของอิหร่านจากอ่าวเปอร์เซียไปยังทะเลสาบแคสเปียน

การริเริ่มที่เตหะรานต้องการเห็นมากที่สุด  คือการสร้างคลองขุดเพื่อการเดินเรือเชื่อมทะเลสาบแคส เปียนกับอ่าวเปอร์เซีย     โครงการนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2020 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นประ โยชน์ต่อรัสเซียเป็นอันมาก   เนื่องจากสัมพันธภาพที่เย็นชากับตุรกี  แต่สำหรับยุโรป และประเทศอดีตสหภาพโซเวียตจะได้ผลประโยชน์มากมายจากโครงการนี้
นาย อเล็กไซ ชิคกิน นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์ให้ความเห็นว่า...ในอิหร่านการก่อสร้างคลองเพื่อเชื่อมเส้นทางเดินเรือนี้ได้เริ่มลงมือและมีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว
การริเริ่ม ..ไม่ใช่เรื่องใหม่   ความคิดนี้เริ่มขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 โดยวิศวกรชาวรัสเซีย ได้พัฒนาพิมพ์เขียวสำหรับเส้นทางเดินเรือขึ้นในทศวรรษที่ 1890  เพื่อเป็นทางลัดไปยังมหาสมุทรอินเดียโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบตุรกี (บอสพอรัส) และคลองสุเอซในอียิปต์
โครงการนี้ได้รับการอนุมัติจากนาย มามูต อาห์มาดิเนจาด  ประธานาธิบดีคนก่อน     เมื่อปี 2012  นาย มาจิด  นามโจ รัฐมนตรีพลังงานอิหร่านคนก่อนได้ประมาณการว่าโครงการนี้มีมูลค่าประมาณเจ็ดแสนล้านดอลลาร์

เดือนกุมภาพันธ์ 2015 นาย อเลดิน โบรูเจอร์ดี ประธานนโยบายความมั่นคงแห่งชาติและคณะกรรม การนโยบายต่างประเทศของรัฐสภาอิหร่าน  ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว ฟาร์ส นิวส์ว่า บริษัทวิศวกรรม  คาทาม อัล อันบิยา ที่มีกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติเป็นเจ้าของ   จะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบโครงการอย่างใกล้ชิด

แต่ก็ใช่ว่าจะมีผู้เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ทั้งหมด...  ”ตะวันตกและตุรกี มีความพยายามที่จะสกัดกั้นการก่อ สร้างทั้งทางตรงและทางอ้อม     จริงๆแล้วสหรัฐฯได้ประกาศมาตรการแซงชั่น “บริษัทใดๆก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการนี้”  ..ชิคกิน อธิบาย  

ข้อเรียกร้องต้องการที่จะทำการก่อสร้างอีกประการหนึ่งก็คือเพื่อขจัดความแห้งแล้งในภาคกลางของอิหร่านรวมไปถึงในดินแดนที่ราบสูงอีกด้วย     โครงการขนาดมหึมานี้ต้องการเงินลงทุนสูงมาก  นอก   นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆแล้วยังครอบคลุมไปถึงการพยายามกลั่นน้ำจืดจากน้ำเค็ม     นอกจากนี้แล้วคลองขุดจะก่อสร้างขึ้นในพื้นที่ๆเกิดแผ่นดินไหวอีกด้วย


ญี่ปุ่นสร้างฐานทัพบนหมู่เกาะเซ็นกากุ

ญี่ปุ่นสร้างฐานทัพบนหมู่เกาะเซ๊นกากุ/เตียวหยู

วันจันทร์ที่ 28 ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้ส่งทหารของกองกำลังป้องกันตนเองออกจากโอกินาวา  ไปยังเกาะ ตอนใต้สุดของหมู่เกาะเซ็นกากุ/เตียวหยู ที่จีนอ้างสิทธิ์จากกรณีพิพาท    ซึ่งห่างจากโอกินาวาไปทางใต้ประมาณ 92 ไมล์    สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นแจ้งว่า   รัฐบาลได้ส่งทหาร 160 นายไปประจำการที่เกาะโยนากูนิ เกาะใต้สุดของหมู่เกาะเซ็นกากุ/เตียวหยู    รวมถึงการทำหน้าที่พิเศษในการเฝ้าสังเกตการณ์ทางทะเลรอบๆเกาะและพื้นที่ใกล้เคียงกับเกาะเซ็นกากุ/เตียวหยูโดยสถานีเรดาร์ที่ตั้งอยู่บนเกาะนั้น

กรณีพิพาททางการเมืองระหว่างจีน-ญี่ปุ่นเริ่มขึ้นในปี 2012 และรุนแรงขึ้นในกรณีพิพาททางดินแดน    เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศอธิปไตยของชาติเหนือเกาะเซ็นกากุที่จีนอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนตะวันออก    โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในจังหวัดโอกินาวาของญี่ปุ่น    ปี 2014 จีนและญี่ปุ่นได้มีข้อตกลงที่จะลดความตึงเครียดในข้อพิพาทเรื่องหมู่เกาะลง   กระนั้นเรือของจีนยังรุกล้ำอธิปไตยในน่านน้ำรอบๆเกาะเซ็นกากุหลายตรั้งซ้ำๆกันในปี 2015

เหตุการณ์พิพาท จีน-ญี่ปุ่น กรณีเกาะเซ็นกากุ/เตียวหยู

ปี 1371  จีนอ้างสิทธิ์ในการค้นพบหมู่เกาะในสมัยกลาง
ทศวรรษที่ 1780 เกาะเซ็นกากุ/เตียวหยู  ได้แสดงไว้ในแผนที่ของญี่ปุ่นว่าเป็นของจีน
ปี 1895 ญี่ปุ่นได้ผนวกหมู่เกาะเข้าในจักรวรรดิญี่ปุ่นหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งแรก
ปี 1900 โคกะ ทัตสึชิโร  นักธุรกิจญี่ปุ่น ได้ก่อตั้งบริษัทค้าปลาและดำเนินการมาจนถึงปี 1940 นับแต่นั้นมาเกาะถูกทิ้งร้างไป
ปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯได้เข้ายึดครองหมู่เกาะ
ปี 1969 สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเชียและตะวันออกไกล(ECAFE) ได้ระบุถึงศักยภาพของการเป็นแหล่งสำรองปริมาณก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในบริเวณใกล้เคียงหมู่เกาะ
ปี 1970 ทาญาติของ ทัตสึชิโร  ได้ขายเกาะเล็กๆสี่เกาะให้แก่ตระกูลคูริฮารา   ส่วนเกาะที่ 5 ยังอยู่ในครอบครองของรัฐบาลญี่ปุ่น
ปี 1972  สหรัฐฯได้มอบคืนเกาะจากการยึดครองให้แก่ญี่ปุ่น
ปี 1992  จีนได้ประกาศว่า เป็นเขตครอบครองของตนมาแต่ดั้งเดิม
ปี 1999  จากการสำรวจรอบๆเกาะพบว่ามีแหล่งสะสมแก๊สธรรมชาติประมาณ 200 ล้านคิวบิคเมตร
ปี 2002  รัฐบาลญี่ปุ่นได้เช่าเกาะทั้ง 4 เกาะจากตระกูลคูริฮารา

เดือนกันยายน 2012  รัฐบาลญี่ปุ่นได้ซื้อ 3 ใน 4 เกาะและประกาศอธิปไตยของชาติเหนือหมู่เกาะ   จึงเป็นชนวนความตึงเครียดครั้งใหม่ในด้านความสัมพันธ์กับจีน

Tuesday, February 23, 2016

แนวคิดของทักษิณ ชินวัตร

ทักษิณ  ชินวัตร  อดีตผู้นำของไทย กล่าวถึงแผนเลือกตั้งของรัฐบาลทหารว่า มีนัย  

โดย เจมส์  ฮุคเวย์          21 กุมภาพันธ์  2016  

ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำของไทยกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า     รัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศ
กำลังทำอันตรายต่อเศรษฐกิจที่เปราะบางของประเทศโดยการผลักดันแผนการในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่      เพื่อจำกัดอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง   และเพื่อรักษาอิทธิพลของบรรดานายพลที่ขับไล่รัฐบาลของเขาทั้งในปี 2006 และรัฐบาลที่นำโดยของน้องสาวของเขาเมื่อปี 2014

“มันมีนัยซ่อนเร้นอยู่ เพื่อจะแสดงให้ทั้งโลกได้เห็นว่าประเทศไทยกำลังจะกลับเข้าสู่ความเป็นประชาธิป ไตย"  เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ที่ไม่สู้จะเกิดขึ้นบ่อยนักในประเทศใกล้เคียง..”ซึ่งจริงๆแล้วมันเหมือน  พม่าก่อนที่จะมีการปฏิรูปทางการเมือง    มีนายกรัฐมนตรี..แต่อำนาจที่แท้จริงขึ้นอยู่กับบางคณะที่มีฐานะสูงกว่า...และนั่นจะทำให้เกิดความยุ่งยากทางเศรษฐกิจ     ไม่มีรัฐบาลประเทศไหนต้องการจะใกล้ชิดกับประเทศไทย”

ในขณะเดียวกันเขาได้เรียกร้องให้รัฐบาลของ  พลเอก ประยุทธ  จันทร์โอชา   ให้เปิดการเจรจากับกลุ่มการเมืองต่างๆภายในประเทศ  เพื่อทางออกที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้   เริ่มตั้งแต่กรอบของรัฐธรรมนูญ  อันจะนำไปสู่การใช้สิทธ์ในเลือกตั้ง    ซึ่งไม่ควรถูกจำกัดโดยข้อเสนอของคณะทหารที่เน้นรูปแบบความมั่นคงของ คสช. ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น

“กรุณาอย่ามีความระแวง   กรุณาอย่ากลัวว่าผมต้องการจะแก้แค้น”  คุณ ทักษิณ  แสดงต่อรัฐบาลที่มีอำนาจปกครองประเทศในปัจจุบัน..  “ผมไม่ได้กำลังแสวงหาเงื่อนไขเพื่อช่วยตัวผมเอง    แต่ถ้าคุณมีความตั้งใจ จริงที่จะทำให้ประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า.... ถ้าคุณต้องการคืนศักดิ์ศรีให้แก่ประชาชนไทย   โปรดมาพูดคุยกัน”

คุณ  ทักษิณ นักประชานิยม  เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี กระทั่งถูกโค่นโดยการรัฐประหาร..ได้ใช้ชีวิตเกือบทศวรรษท่องไปทั่วโลก  หลังจากหลบหนีออกจากประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษจำคุกในข้อหาคอร์รัปชั่น  ที่เขากล่าวว่าเป็นแรงผลักทางการเมือง

ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว นักธุรกิจมหาเศรษฐีผู้นี้ต้องใช้หนังสือเดินทางของประเทศ มอนเตนีโกร และ นิคารากัว ตลอดมา  และเมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นเจ้าของสโมสวรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ของอังกฤษอีกด้วย ก่อนที่จะขายเพื่อทำกำไรในปีต่อมา     ปี 2010 เขาได้เรียกร้องให้มีการประท้วงให้มีการเลือกตั้งใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งจบลงด้วยการนองเลือดจากการเผชิญหน้ากับกองทัพและมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 90 คน     ปี 2011 ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร น้องสาวของเขา ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคำมั่นในการดำเนินนโยบายประชานิยมเช่นเดียวกันกับพี่ชายของเธอ      และรัฐบาลของเธอก็ถูกขับออกไปโดยการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2014 หลังจากมีความพยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อเป็นช่องทางในการกลับมาของพี่ชาย

ขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้รับความบอบช้ำจากระดับอุปสงค์ที่ลดลงของโลก และเนื่องมาจากอิทธิพลของกองทัพที่เพิ่มมากขึ้นและยาวนาน   คุณ ทักษิณ  มีความมุ่งหมายที่จะเตือนความจำกลุ่มเผด็จการทหารและประชาชนไทยนับล้านที่เคยเลือกพรรคของเขาและพรรคเพื่อไทยของคุณยิ่งลักษณ์   ให้มีการเตรียม พร้อมในการแข่งขัน    หากการเลือกตั้งจะมีขึ้นในปีหน้าตามแผนที่วางไว้

เขากล่าวว่า..“ ผมทำตัวเงียบมานาน        การวิจารณ์ของผมมักจะถูกคิดไปในทางลบและหวาดระแวงเกี่ยวกับตัวผม”...”ผมต้องการเคลียร์ว่า  พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะกังวลอะไรเกี่ยวกับผม  ผมไม่สนใจ สถานะของผม     แต่ผมสนใจเกี่ยวกับว่าจะทำให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างไรมากกว่า?  และ
"รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้เสียทั้งเวลาและกำลังคน       มันไม่เป็นที่ยอมรับของใครๆ  นอกจากกลุ่มเผด็จการทหาร     ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้.. เมื่อนั้นประเทศไทยจะกลับไปสู่ความล้าหลัง”

คณะทำงานที่แต่งตั้งโดยกองทัพได้นำเสนอร่างใหม่เมื่อเดือนก่อน   หลังจากร่างล่าสุดดุถูกปฏิเสธโดยรัฐบาลพลเอก ประยุทธิ์      แต่ฉบับล่าสุดยังคงไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากพรรคการเมือง หลักๆของไทย  รวมไปถึงผู้สนับสนุนคุณทักษิณในพรรคเพื่อไทยและคนไทยที่ก้าวหน้า    โดยเฉพาะกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง.....มีความเป็นไปได้ที่เป็นการเตรียมการให้ผู้นำกองทัพสามารถนำประเทศต่อไปอีก      หลังการเลือกตั้งที่กำหนดแผนไว้ว่าจะมีขึ้นในปลายปี 2017 กลุ่มปกครอปกครองเผด็จการทหารยังแต่งตั้งตนเองให้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อใช้อำนาจต่อไปโดยแอบอยู่เบื้องหลังรัฐบาลพลเรือนที่(พวกเขา) เรียกว่าเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน

คุณ ยิ่งลักษณ์..ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญกับการถูกล่าวหาในเรื่องข้าวที่หายไปมีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์และละเลยต่อการทุจริต

ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ วอลสตรีท เจอร์นัล เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา   เธอปฏิเสธในทุกกรณีและตั้งคำถามว่า     ทำไมเธอถึงถูกกล่าวหาในการปฏิบัติตามนโยบายที่เป็นปัญหาใจกลางของการณณรงค์หาเสียงของเธอ     คะแนนนิยมและผู้สนับสนุนของเธอได้เพิ่มมากขึ้นในขณะที่เธอปรากฏตัวตั้งแต่การไต่สวนเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม    เธอได้รับช่อดอกไม้มากมาย..ภยันตรายจากกลุ่มเผด็จการทหารได้ยกระ ดับตัวเธอให้ไปสู่ความเป็นผู้ยอมสละแม้ชีวิตยืนหยัดเพื่อความถูกต้องไปแล้ว

คุณทักษิณเองก็ได้ตั้งคำถามด้วยเช่นกันว่า  ทำไมคุณยิ่งลีกษณ์ต้องถูกดำเนินคดี...เขากล่าวว่า ”ผมสามารถบอกคุณได้เลยว่ามันเป็นเรื่องของการเมือง”..”ผมไม่ตำหนิตัวผู้พิพากษา   แต่ผมตำหนิเรื่องของระบบ   และทำไมเธอต้องถูกกล่าวหา     ผมเชื่อว่าเธอจะไม่ถูกลงโทษ แต่ก็ไม่แน่นะ”



สหรัฐอเมริกาโอ้อวดเรือ ”แบทแมน”

สหรัฐอมเริกาโอ้อวดว่าเรือ ”แบทแมน” เป็นสนามในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของโอบามา
David Tweed   February 11, 2016 — 6:01 PM EST Updated on February 12, 2016 — 2:33 AM EST          


                                                 เรือพิฆาต ซุมเวลท์

บรรดาเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ กำลังเฝ้ารอ “ซุปเปอร์ฮีโร่” ที่พวกเขาเชื่อว่าจะรักษาเพื่อรักษาระเบียบ ความปลอดภัยของเอเชียภายหลังสงครามในการเผชิญหน้ากับการรุกคืบของจีนที่กำลังขยายตัวมากขึ้น
“ถ้าซุปเปอร์ฮีโรคือเรือ  ก็มันนี่แหละ” พลเรือเอก แฮรี่  แฮริส   ผู้บัญชาการภาคพื้นแปซิฟิค ของกอง ทัพสหรัฐฯ  ได้กล่าวต่อผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียในกรุงวอชิงตันเมื่อเดือนที่ผ่านมา    เขาชี้ให้เห็นถึงการเลื่อนเวลาเข้าประจำการของเรือพิฆาตชั้นDDG-1000 ซุมเวลท์ ที่ใหญ่และลึกลับที่สุดของกองทัพเรือสหรัฐฯ ว่า  “ทุกๆอย่างเป็นเรื่องใหม่และค่อยเป็นค่อยไปที่สหรัฐฯกำลังพัฒนาเพื่อการก้าวไปยังเอเซียแปซิฟิค”

คำอธิบายของแฮรี่ แสดงถึงแนวโน้มในการสร้างสมดุลทางการทหารในเอเซียของ บารัค โอบามา  ซึ่งเตรียมตัวในการเป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำจาก10 ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนที่ ซันนี่แลนด์ เอสเตทในแคลิฟอร์เนียในสัปดาห์หน้า      โอบามาพยายามสร้างอิทธิพลความมั่นคงหลังจากการบริหารงานของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช  และคนอื่นๆที่รวมศูนย์อยู่เพียงตะวันออกกลางมากกว่าที่อื่นๆ     ส่วนเรื่องของเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน      ในปี 2009 จีนได้แซงหน้าญี่ปุ่นจนกลายไปเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มประเทศอาเซียนไปแล้วหลังจากได้เข้ามาแทนที่สหรัฐฯเมื่อปีก่อนนี้

เออร์เนสท์  โบเวอร์  ที่ปรึกษาอาวุโส ของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศ  ในกรุงวอชิงตันได้กล่าวว่า  การประชุมสุดยอดที่คฤหาสน์ใหญ่เนื้อที่กว่า 200 เอเคอร์ นั้น  บรรดาผู้นำคนต่างๆสามารถใช้เวลานอกรอบอย่างไม่เป็นทางการกับโอบามา ได้อย่างสะดวก    โอบามาเคยเลือกคฤหาสถ์ ซันนี่แลนด์ เป็นที่หารือกับ สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีคนใหม่ของจีนอย่างเป็นกันเองเมื่อปี 2013

โบเวอร์  กล่าวต่อไปว่า...”ทำเนียบขาวมองว่าการใช้ ซันนี่แลนด์ นั้นเป็นการปฏิบัติที่มีความเป็นพิเศษอย่างยิ่ง   เป็นสถานที่ซึ่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯเดินทางจากวอชิงตันเพื่อใช้เวลาสองวันเต็มๆโดย เฉพาะเพื่อพบปะกับบรรดาผู้นำทั้งหลาย

การประชุมเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลใจในวอชิงตัน     ว่าจีนจะยกระดับความกดดันสหรัฐฯให้สละพื้นที่    สี จิ้น ผิง มักจะพูดอยู่บ่อยครั้งในเรื่องรูปแบบของ ”ความสัมพันธ์ของมหาอำนาจ” และการ ทหารว่า      จะเป็นการดีกว่าหากจะแสวงหาการเกื้อหนุนกันทางเศรษฐกิจมากกว่าที่จะเป็นโครงการส่งกองกำลังเพื่อสร้างอิทธิพลไว้นอกภูมิภาค     ภายใน 2030 กรณีพิพาททะเลจีนใต้จะกลายเป็น ”ทะเลสาบของจีน” ซึ่งเป็นผลมาจากการแสดงตัวของจีนอย่างสม่ำเสมอและเป็นการเสริมอิทธิพลของตนในภูมิภาค.....จากคำรายงานของศูนย์ศึกษายุทธ- ศาสตร์และการต่างประเทศ (CSIS/ Center for Strategic and International Studies, ) ซึ่งออกมาเมื่อเดือนก่อน   และนั่นจะมีผลด้านกลับต่อมาตรการด้านความมั่นคงแทนที่ญี่ปุ่น   ตั้งแต่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม โลกครั้งที่สอง.. สหรัฐฯก็ครองความเป็นเจ้าทะเลในเอเซียอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
 เรือพิฆาต ซุมเวลท์ ในขั้นตอนสุดท้ายที่อู่ต่อเรือพอร์ทแลนด์
“การละเลยที่แสนดี”

นาง เทวี ฟอร์ตูนา อันวาร์  นักวิทยาศาสตร์การเมืองจากสถาบันวิทยาศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย ได้กล่าวว่า   “การบริหารงานของบุชได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า    การละเลยต่อภูมิภาคนี้เนื่องมาจากการเข้าไปยึดครองอัฟกานิสถานและตะวันออกกลาง”...    “ ไม่ควรมองว่าภูมิภาคไหนมีความสะดวกสบายเพียงชั่วครั้งชั่วคราว      คุณไม่อาจรักษาความสัมพันธ์ได้เพียงแค่มองไปรอบ ๆตัว     และจะให้ความสนใจก็ต่อเมื่อคุณต้องการเพื่อนเท่านั้น ".

อเล็กซานเดอร์ ซุลลิแวน   ผู้ปฏิบัติงานศูนย์รักษาความปลอดภัยในกรุงวอชิงตันกล่าวว่า     โอบามาแสวงหาความเป็นเอกภาพในอาเซียนมากกว่าจีน      ข้อเรียกร้องของจีนในพื้นที่ทะเลจีนใต้.. มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ถูกคัดค้านโดยประเทศต่างๆเช่น บรูไน  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  และเวียดนาม     สองปีที่ผ่านมาจีนได้อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทางทะเลไปแล้วถึง 3,000 เอเคอร์     เป็นบริเวณของเส้นทางเดินเรือในซึ่งแต่ละปีมีมูลค่าถึง 5,000,000,000,000 ดอลลาร์    และได้มีการก่อสร้างฐานทัพด้วย

ในขณะที่ฟิลิปปินส์และเวียดนามได้ทำการคัดค้านในเรื่องนี้   ประเทศอาเซียนอื่นๆต่างต้องการให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับจีนที่มีพลังศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ       ในเดือนพฤศจิกายน รัฐมนตรีกลาโหมของประเทศสมาชิกอาเซียนต่างประสบกับความล้มเหลวในการเจรจากันในการประชุม   ท่าม กลางการแถลงข่าวของจีนที่คัดค้านเกี่ยวกับกรณีพิพาท       ซึ่งคล้ายคลึงกับความล้มเหลวของการประชุมระดับผู้นำในกัมพูชาเมื่อปี 2012


  ความสัมพันธ์ทางการค้าของจีนและสมาคมอาเซียน

ซุลลิแวน กล่าวว่า..”สหรัฐฯมีความพยายามที่จะให้ประเทศกลุ่มอาเซียนรวมเป็นเสียงเดียวร่วมกันในกรณีทะเลจีนใต้”....  “มันไม่ควรจะแยกกันเจรจาทีละประเทศอย่างที่จีนคิด”

อินโดนีเซียไม่ได้มีส่วนพิพาทในกรณีทะเลจีนใต้  และต้องการให้มีการแก้ปัญหาด้วยการเจรจา  ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ได้กล่าวกับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก ในสัปดานี้
เขากล่าวว่า...”ถ้าภูมิภาคนี้ไม่มีความมั่นคง  ภาวะเศรษฐกิจจะตกอยู่ในความยุ่งยาก...อินโดนีเซียต้อง การจะมีบทบาทให้มากขึ้นในการแก้ปัญหาเรื่องทะเลจีนใต้”

นางอันวาร์  ที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดี บีเจ ฮาบีบี ของอินโดนีเซีย กล่าวว่า...กลุ่มผู้นำอาเซียนอาจจะเห็นด้วยกับสหรัฐฯ    ถึงการให้สัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล    ที่จีนเองก็ได้ร่วมลงนามด้วย ....” ถ้าเราพูดกันด้วยความเคารพในกฎเกณฑ์ของกฎหมาย และข้อบังคับ  การเดินเรือของกลุ่มอนุสัญญาที่ว่าด้วยการเดินเรือของสหประชาชาติ    (UNCLOS /United Nations Convention on the Law of the Sea ) แล้ว ในมือของสหรัฐฯ ย่อมมีความเหนือกว่า มิใช่หรือ?”

บวกกับเหตุผลที่เมื่อเร็วๆนี้คือ  ความหวังของการพิจารณาคดีในช่วงกลาง 2016- โดยศาลระหว่างประเทศเกี่ยวกับกรณีของฟิลิปปินส์ในการต้อสู้กับข้อเรียกร้องของจีนในทะเลจีนใต้     จีนปฏิเสธการ เจรจากับทั้งกลุ่ม (สมาชิกอาเซียน)   เรียกร้องที่จะเจรจาข้อพิพาทแบบตัวต่อตัวเท่านั้น

การเดินสายของ จอห์น เคอรี
จอห์น  เคิอรี  รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ  ได้เริ่มปูพื้นการประชุมที่ซันนี่แลนด์โดยการเยือนลาวในเดือนมกราคม   ซึ่งจะเป็นประธานอาเซียนที่จะเวียนมาในปีนี้...และต่อไปยังกัมพูชาและสิ้นสุดการเดิน ทางที่กรุงปักกิ่ง..ซึ่งได้พูดคุยเรื่องทะเลจีนใต้กับ นายหวัง ยี่ ออน รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนเพียงเล็กน้อย

ไม่กี่วันต่อมาสหรัฐได้ส่งเรือรบเข้าไปยังน่านน้ำที่จีนอ้างสิทธิ์   เวียดนามและไต้หวัน ก็ได้ท้าทายอย่าง “ไม่หวั่นเกรง” โดยการเดินเรือเข้าไปยังน่านน้ำที่ทั้งสามประเทศอ้างสิทธิ์     เป็นครั้งที่สองภายในหกเดือน ที่สหรัฐฯ ท้าทายจีน โดยการเดินเรือในเขตน่านน้ำเสรี(ซึ่งจีนอ้างว่าเป็นเขตน่านน้ำของตน)
โอบามามีความพยายามที่จะให้ได้มาซึ่งความสัมพันธ์ที่มั่นคงทางด้านเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศอา เซียน โดยชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิกในองค์กร ทรานส์ แปซิฟิค(TPP/Trans Pacific Partnership)ซึ่งเป็นองค์กรทางเศรษฐกิจ-การค้าที่พยายามหว่านล้อมให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าเป็นสมาชิกร่วมกับ  บรูไน  มาเลเซีย  สิงคโปร์ และเวียดนาม     อินโดนีเซียและไทย ก็ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมด้วย

เส้นทางสายไหม

ในด้านจีนได้ดำเนินโครงการ “เส้นทางสายไหมทางเรือในศตวรรษที่ 21”   สร้างเครือข่ายด้านโครง สร้างพื้นฐานขึ้นในภูมิภาคพร้อมกับการก่อตั้ง “ธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย”(AIIB / Asian Infrastructure Investment Bank) ที่รัฐบาลปักกิ่งให้การสนับสนุนอยู่    และในเดือนธันวาคม ฟิลิปปินส์ได้ตกลงในการเข้าร่วมกับ AIIB

แดเนียล  คริตเตนบริงค์   ผู้อำนวยการอาวุโสทางด้านกิจกรรมเอเซียของสภาความมั่นคงแห่งชาติได้กล่าวสรุปย่อในวอชิงตันว่า  “เป็นที่ชัดเจนว่า  จำนวนประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก... รายได้หนึ่งในสามของประชากรทั่วโลกและบางส่วนของกองทัพที่มีความเข้มแข็ง      เป็นแนวโน้มที่เอเชีย-แปซิฟิค กำลังเพิ่มศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลก”......."นั่นจึงเป็นเหตุผล และจุดเริ่มต้นการบริหารของประธานาธิบดีโอบามาที่ได้จัดลำดับความสำคัญในการมีส่วนร่วมกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค."


"เพื่อไทย” วิพากษ์แรง รธน.มีชัย

คำแถลงพรรคเพื่อไทย
วิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ “มีชัย”

การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตั้งแต่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน จนถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่มีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน เป็นเพียงละครน้ำเน่าทางการเมือง การร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ภายหลังการรัฐประหารบนเส้นทางประชาธิปไตย 80 ปีเศษ แต่ครั้งนี้แปลกกว่าครั้งใดๆ เพราะร่างของนายบวรศักดิ์ฯไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาปฏิรูปฯ ซึ่งมาจากคณะรัฐประหารเอง จนต้องใช้ลูกพี่ใหญ่ของกลุ่มเนติบริกรอย่างนายมีชัยฯ มาดำเนินการต่อ ซึ่งแค่เพียงร่างเบื้องต้นเผยแพร่ออกมาอย่างเป็นทางการ ก็ได้รับเสียงตอบรับในทางลบอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และดูจะเลวร้ายยิ่งกว่าร่างของนายบวรศักดิ์ฯ และรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ไทยเคยมีมาทุกฉบับ
พรรคเพื่อไทยจึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายและพี่น้องประชาชนได้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงปัญหาร้ายแรงที่บ้านเมืองกำลังเผชิญอยู่ และเราทุกคนต้องร่วมกันแก้ไขโดยเร่งด่วน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1.ประเทศต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันเป็นที่ยอมรับของสากล
ประเทศในโลกเกือบทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแม้จะแตกต่าง
กันบ้างในรูปแบบ แต่จะมีหลักการและโครงสร้างที่เป็นสากลเหมือนกัน นั่นคือ มีรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดเพื่อการอยู่ร่วมกัน และการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลหนึ่งสู่อีกรัฐบาลหนึ่งอย่างสันติ โดยการตัดสินใจอย่างอิสระของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจในองค์กรหลักๆ เช่น รัฐสภา รัฐบาล ศาล หรือแม้แต่องค์กรอิสระอย่างมีดุลยภาพ มีการรับรองคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนและของภาคส่วนต่างๆ ของสังคมอย่างทั่วถึง เป็นรูปธรรม มีการจำกัดและตรวจสอบอำนาจขององค์กรต่าง ๆ ที่ใช้อำนาจรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ มีการเคารพในสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีระหว่างประเทศ ทั้งนี้บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า รัฐธรรมนูญไทยฉบับถาวรในอดีตหลายฉบับ มีความเป็นสากลและผสมผสานความเป็นไทยได้อย่างเหมาะสมมาอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านการปรับปรุงพัฒนาให้มีที่มาจากประชาชน และมีเนื้อหาที่สะท้อนอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ฉบับ พ.ศ. 2489 พ.ศ.2517 พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่5) พ.ศ.2538 และ(ฉบับที่6) พ.ศ.2539 และ พ.ศ.2540
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ประเทศของเราต้องตกอยู่ภายใต้การยึดอำนาจปกครองโดยคณะทหารประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแบบชั่วคราวที่เป็นเผด็จการที่ตนเองร่างขึ้น ตั้งองค์กรฝ่ายต่างๆ มาใช้อำนาจอธิปไตยโดยความคิดของเนติบริกร เพื่อให้ดูชอบธรรมว่ามิได้ใช้อำนาจสิทธิขาดโดยลำพัง แต่แท้ที่จริงแล้วคือการยกอำนาจของปวงชนชาวไทยให้แก่ผู้ยึดอำนาจการปกครองประเทศ ยึดอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย โดยสถาปนาตนเองว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ด้วยเหตุนี้การล้มล้างรัฐธรรมนูญจึงเป็นการล้มล้างกติกาและองค์กรตามระบอบประชาธิปไตยที่ดำรงอยู่ ด้วยการให้ผู้ทำรัฐประหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งทางนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ โดยศาลเองก็รับรองแนวคิดเผด็จการเช่นนี้เรื่อยมา ซ้ำยังยอมรับการนิรโทษกรรมตนเองของพวกรัฐประหารที่ล้มล้างทุกอย่าง ว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญอีกด้วย ดังนั้น หากประเทศไทยไม่มีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยที่ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกยอมรับแล้ว ก็ยากที่จะติดต่อค้าขายและร่วมมืออย่างเป็นปกติกับประเทศเหล่านั้น และที่สำคัญที่สุดคือ การยอมรับและให้เกียรติจากสังคมโลกต่อผู้นำของประเทศและรัฐบาล และยากที่จะเกิดความสงบสุขที่แท้จริง ตลอดจนความเจริญรุ่งเรือง อยู่ดีกินดีของประชาชน
2.ต้องยุติการใส่ร้ายและทำลายพรรคการเมืองและบุคลากรทางการเมือง
ขณะนี้มีการใส่ร้ายและทำลายพรรคการเมืองและนักการเมืองในภาพรวมว่าเป็นสิ่งไม่ดี ได้
อำนาจมาด้วยการซื้อเสียง มีการทุจริต และสร้างความเสียหายในการบริหารบ้านเมือง เลยเถิดไปถึงกรณีว่าไม่จงรักภักดี และสร้างความแตกแยก จนแม้นายมีชัยฯ ยังสร้างวาทกรรมว่า ร่างรัฐธรรมนูญของตนเป็น
“ฉบับปราบโกง” เพื่อให้ทันสมัยตอบสนองต่อการใส่ร้ายดังกล่าว พรรคเพื่อไทยเห็นว่าในทุกอาชีพไม่ว่าจะภาครัฐหรือเอกชนล้วนมีคนดีและคนไม่ดี คนสุภาพและคนหยาบคาย คนไม่มีอคติและคนมีอคติ ในทุกองค์กรย่อมมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน มีประสิทธิภาพและไร้ประสิทธิภาพ เป็นเช่นนี้ทั้งโลกไม่เว้นแม้แต่องค์กรและบุคลากรทางศาสนา แต่การมุ่งใส่ร้ายและทำลายพรรคการเมืองและบุคลากรทางการเมืองด้วยอคตินั้นไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย มีแต่จะสร้างความเข้าใจผิด ความบาดหมางและความสับสนในหมู่ประชาชน เราจะยืนยันได้หรือไม่ว่าในวงการข้าราชการแม้แต่ทหาร ไม่มีการเล่นพวกพ้อง ไม่มีการวิ่งเต้นตำแหน่ง ไม่มีทุจริตในโครงการต่างๆ ทหารทุกคนล้วนเป็นคนดี คนเก่ง ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่สุด จะยืนยันได้หรือไม่ว่าในวงการธนาคาร การปล่อยสินเชื่อต่างๆ ไม่มีการใช้เส้นสาย ไม่มีการเรียกค่าปากถุง บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นตัวอย่างอันดีงามในการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ไม่นำเอาข้อมูลภายในไปหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น แม้แต่ศาล องค์กรอิสระจะยืนยันได้หรือไม่ว่าทุกคนสุจริต ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนิติธรรมและปราศจากอคติตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ถ้าจริงคงไม่มีเรื่องอื้อฉาวมากมายเกิดขึ้นในองค์กรต่างๆ ที่กล่าวมา แม้แต่วงการศาล คงไม่มีการวิจารณ์ถึงปัญหาการเลือกปฏิบัติและสองมาตรฐาน พรรคการเมืองและนักการเมืองจะดีหรือไม่ดี ขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ตัดสินโดยเผด็จการหรือบุคคลที่ไม่เคารพอำนาจตัดสินใจของประชาชนและดูถูกประชาชน และหากกระทำผิดกฎหมายก็ว่าไปตามหลักกฎหมายอย่างยุติธรรม ปราศจากอคติ
ที่กล่าวมาข้างต้น คือปัญหาที่เราต้องช่วยกันวิเคราะห์ถึงต้นเหตุ และหาทางแก้ไขร่วมกัน ไม่ใช่ยกตัวเองว่าดีและด่าว่าผู้อื่น หรือเอาดีใส่ตัวเอง เอาชั่วใส่คนอื่น สังคมไทยย่ำอยู่ในวังวนเช่นนี้มานานพอแล้ว พรรคเพื่อไทยซึ่งสืบเนื่องมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย ได้ผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดของความอยุติธรรม และการกลั่นแกล้งใส่ร้าย มามากกว่าสิบปี เราถามตัวเองว่าพรรคการเมืองและบุคลากรทางการเมือง ตลอดจนผู้สนับสนุนเรามากกว่า 10 ล้านคนเป็นสิ่งเลวร้ายทางการเมืองที่ต้องถูกทำลายกระนั้นหรือ พรรคการเมืองอื่น องค์กรต่างๆ ในระบบราชการ องค์กรอิสระล้วนเป็นสิ่งที่ดี จึงต้องร่วมมือกันทำลายเรากระนั้นหรือ และทั้งหมดนี้ทำไปเพื่ออะไร
การรัฐประหารเมื่อกันยายน 2549 ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อจากการทำให้การเลือกตั้งต้องสะดุดลง เพราะการไม่ส่งผู้สมัครของพรรคการเมืองบางพรรค และกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ คณะรัฐประหารได้ประกาศอย่างชัดเจนถึงบันได 4 ขั้นว่า เหตุผลของการยึดอำนาจ คือ 1. โค่นล้ม “ทักษิณ” ให้พ้นจากอำนาจการเมือง 2. ยึดทรัพย์และดำเนินคดีกับทักษิณ เพื่อไม่ให้กลับมาเล่นการเมืองตลอดไป 3. ยุบพรรคไทยรักไทย ห้ามกรรมการบริหารพรรคเล่นการเมือง 5 ปี เพื่อสลายเครือข่ายและบุคลากรทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย 4. เปลี่ยนขั้วการเมือง ให้พรรคการเมืองใหญ่อีกพรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล
ซึ่ง 3 ขั้นแรกผ่านไปอย่างสะดวก ด้วยการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่นการยุบศาลรัฐธรรมนูญและตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นแทน เพราะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่สนองเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกประกาศ คปค. ว่าถ้าพรรคการเมืองถูกยุบ กรรมการบริหารทุกคนจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ซึ่งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็นำเอาเหตุที่พรรคการเมืองบางพรรคกล่าวหาว่ากรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 2 คนจ้างพรรคเล็กมาเป็นเหตุในการยุบพรรค และตุลาการเสียงข้างมากก็วินิจฉัยว่าประกาศ คปค. มีผลย้อนหลังไปตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คนได้ เหตุการณ์ผ่านมา 10 ปี ศาลฏีกาตัดสินว่าไม่มีคนของพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกกล่าวหาถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สรุปคือว่า แม้จะถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ถือว่าช่วยไม่ได้ ไม่มีผู้ใดที่ร่วมก่อกรรมนี้ออกมาขอโทษ หรือแม้แต่รัฐบาลที่ขอแต่ให้คนอื่นเคารพกฎหมาย เคารพหลักนิติธรรมที่พวกตนสร้างขึ้นเอง ก็หาได้แสดงถึงความห่วงใยและหาวิธีเยียวยาแต่อย่างใดไม่ ปล่อยให้คน 111 คน ตกเป็นเหยื่อแห่งความอยุติธรรมที่กระบวนการยุติธรรมของคณะรัฐประหารหยิบยื่นให้ การปกครองแบบนี้ใช่ไหมที่ภูมิใจว่าดีกว่าของนักการเมือง
แม้จะได้รัฐธรรมนูญ 2550 ตามวัตถุประสงค์ของการรัฐประหาร ด้วยการวางกลไกให้ตุลาการและกรรมการองค์กรอิสระเข้าไปควบคุมการเมือง การบริหารราชการและการดำเนินการด้านนิติบัญญัติ แต่ประชาชนก็ยังมีศรัทธาในพรรคพลังประชาชน จนได้เสียงข้างมากและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล จึงต้องหาวิธีการล้มนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ นายสมัคร สุนทรเวช ทั้งนอกสภาและในสภา จนในที่สุดต้องอาศัยศาลรัฐธรรมนูญ ในเดือนกันยายน 2551 วินิจฉัยให้นายสมัครฯ พ้นจากตำแหน่งเพราะร่วมรายการ
“ชิมไปบ่นไป” ที่นายสมัครเป็นพ่อครัวในรายการมาตั้งแต่ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้นเมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย แบบกระทันหันในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เป็นผลให้นายสมชายฯ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนรวม 109 คนถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย นายสมชายฯ จึงพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ในที่สุดแผนบันได 4 ขั้นก็เป็นจริงเมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ 17 ธันวาคม 2551
3.ร่างรัฐธรรมนูญนายมีชัยฯ ตอบโจทย์อะไร
ไม่ว่านายบวรศักดิ์ฯ จะเสนอแนวคิดยกระดับประชาชนให้เป็นพลเมือง ใช้ระบบเลือกตั้งแบบใหม่ สว.77 คนมาจากการเลือกตั้ง 123 คนมาจากการสรรหา นายกรัฐมนตรีเป็นคนนอกได้ มีการสร้างองค์กรใหม่ๆ นับ 10 องค์กร ซ้อนกับองค์กรที่มีอยู่และรัฐบาล และเรียกรัฐธรรมนูญของตนว่า “ฉบับปฏิรูป” หรือนายมีชัยฯ จะใช้ระบบเลือกตั้งแบบนายบวรศักดิ์ฯ แต่เปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่นใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว สว. มาจากการสรรหาทั้งหมด นายกรัฐมนตรีเป็นคนนอกได้ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรควบคุมและตัดสินทุกองค์กร และตีความรัฐธรรมนูญได้ตามใจชอบ การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยผู้ที่มาจากการเลือกตั้งไม่อาจเป็นไปได้เลย วางคุณสมบัติและข้อห้ามคนจะเป็นนักการเมืองไว้เข้มงวด ฯลฯ จนตั้งฉายาฉบับของตนว่า “ฉบับปราบโกง” นี่ยังไม่นับการซ่อนเงื่อนอีกมากมายเพื่อทำลายอำนาจของประชาชนที่จะไปเขียนไว้ในกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จึงได้มีคำพูดเก๋ๆ ของนายมีชัยฯ ว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องไม่ยาว วางเพียงหลักการ รายละเอียดจะไปเขียนไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ทั้งหมดนี้น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ขบวนการเหล่านี้กำลังทำอะไร เรื่องความสมานฉันท์ปรองดองนั้นเลิกคิดไปได้ เพราะเป็นเพียงวาทกรรมเพื่อทำให้พวกตนดูไม่น่าเกลียด เรื่องปฏิรูปก็ทำเป็นคึกคักพอเป็นพิธีเพื่อใส่ร้ายว่าการบริหารบ้านเมืองโดยนักการเมืองไม่ดี ต้องมีการปฏิรูป แต่การปฏิรูปที่แท้จริงคือจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยมีความต่อเนื่อง ไม่มีการรัฐประหาร ไม่มีการใช้อำนาจเผด็จการกดหัวประชาชนและสื่อมวลชนได้อย่างไร พวกเนติบริกรไม่เคยคำนึงถึง เพราะไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตย หรือเผด็จการ พวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่เสวยสุขอย่างต่อเนื่อง
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยฯ กำลังวางเงื่อนไขให้เกิดบันได 4 ขั้นใหม่ เพื่อเสริมและต่อยอดให้กับบันได 4 ขั้นเดิม นั่นคือ 1. พรรคเพื่อไทยต้องไม่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง สิ่งที่ทำไปแล้วคือ การทำลายผู้นำและแกนนำของพรรคในทุกวิถีทาง ล่าสุดคือการให้ สนช. ซึ่งไม่ได้ตัวแทนของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ ถอดถอนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ฯ ออกจากตำแหน่ง ทั้งๆ ที่พ้นจากตำแหน่งมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มีโอกาสนำทัพเลือกตั้ง ไม่นับการดำเนินคดีอื่น ๆ 2. ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมาก หรือข้างมากเด็ดขาดและเป็นรัฐบาล ก็จะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอที่สุด แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ หรือมิเช่นนั้นก็ต้องยอมสนับสนุนคนนอกพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี 3. การขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในอนาคตไม่ต้องอาศัยการรัฐประหาร แต่ทำได้โดยศาลรัฐธรรมนูญ 4. ในทุกกรณีประเทศจะถูกปกครองเชิงลึกโดยองค์กรและกลไกของคนส่วนน้อยที่ไม่ได้มาจากประชาชน การเลือกตั้ง การมีพรรคการเมือง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะเป็นเพียงแค่พิธีกรรมและหน้าฉากเท่านั้น
ไม่ว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะอธิบายอย่างไร ก็ไม่อาจปิดบังสิ่งที่กล่าวมาได้ การพยายามยกหลักการโน้น หลักการนี้และมาตราต่างๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเพียงวาทกรรมของพวกเนติบริกรที่ไม่เคยมีความจริงใจให้แก่ใคร ไม่เข้าใจประชาธิปไตยหรือคำว่าอำนาจของประชาชน เพราะพวกเขามีตำแหน่งอยู่ในแทบทุกรัฐบาลในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่ารัฐบาลแบบใด
พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่า สังคมต้องเข้าใจให้เท่าทันความคิดและผลประโยชน์ของพวกเนติบริกร และต้องช่วยกันหยุดยั้งไม่ให้ร่างรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ทำร้ายประเทศและประชาชนอย่างไม่มีวันสิ้นสุดต่อไป โดยได้เสนอมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญที่ดีต้องประกอบด้วย 2 สิ่งคือ
ที่มา ต้องไม่มาจากอำนาจเผด็จการ แต่ต้องมาจากประชาชน พรรคฯ จึงเสนออย่างต่อเนื่องว่า
ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อไปร่างรัฐธรรมนูญ
เนื้อหา ต้องเป็นกติกาที่เป็นธรรม เป็นสากลและเป็นไทย ฯลฯ ดังที่กล่าวมาข้างต้น
ด้วยเหตุนี้ พรรคฯ จึงเคยเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งบุคคลที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็คงอยู่ที่วาระ 3 จนมีการรัฐประหาร และหากมีความจำเป็นเร่งด่วน หรือสถานการณ์พิเศษ ที่ต้องนำรัฐธรรมนูญในอดีตมาใช้บังคับ ก็ควรใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เพราะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ร่างโดยผู้แทนประชาชนที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา จนได้ชื่อว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ที่ทุกฝ่ายสนับสนุนและผลักดัน ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นนำในขณะนั้น โดยการปรับปรุงแก้ไขให้มี “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” ที่ประกอบด้วยตัวแทนของทั้งรัฐบาล รัฐสภา ศาลและองค์กรอิสระ เพื่อทำหน้าที่ตีความและวินิจฉัยปัญหาของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนและขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน และที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าได้สร้างปัญหาสองมาตรฐานที่ร้ายแรงไว้เพียงใด ขณะเดียวกันที่มาและอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระบางองค์กรจะต้องปรับปรุงเพื่อให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลที่เหมาะสม และต้องยึดโยงกับอำนาจของประชาชน ตลอดจนองค์กรใช้อำนาจอธิปไตยทั้งหลายและองค์กรอิสระ รวมถึงข้าราชการระดับสูงต้องแสดงทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณะ
4.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยฯ จะทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหายอย่างไร
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยฯ เมื่อผนวกกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จะจัดทำขึ้นใหม่ เช่น
การเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการป.ป.ช. ศาล รัฐธรรมนูญ ฯลฯ จะเป็นนวัตกรรมเผด็จการ ที่สังคมไทยไม่เคยพบเห็นมาก่อน และแม้ว่าอาจจะมีการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะบ้าง เช่น พรรคการเมืองอาจไม่ต้องเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี 3 คน การคืนสิทธิชุมชน ฯลฯ แต่โครงสร้างและแผนบันได 4 ขั้นอันใหม่จะไม่เปลี่ยนแปลง ระบบทหารจะไม่ได้รับการแตะต้องและไม่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศ
พรรคเพื่อไทยเห็นว่าประชาชนจะสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 80 ปีเศษ ดังนี้
1.อำนาจอธิปไตยที่ถือเป็นของปวงชนชาวไทยมาตั้งแต่ พ.ศ.2475 จะไม่มีความหมาย เพราะประชาชนไม่อาจตัดสินใจเลือกตั้งผู้แทนของตนในสภาผู้แทนราษฏรได้อย่างอิสระอีกต่อไป
และไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา สิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจอธิปไตย การได้รับสวัสดิการด้านสาธารณสุข หลักประกันสำหรับราคาพืชผลการเกษตร การชุมนุมเรียกร้องและการแสดงความคิดต่างๆ ฯลฯ จะถูกลิดรอนไปอย่างมาก จนเหลือเพียงแค่ไปลงคะแนนเลือกตั้งด้วยบัตรเพียงใบเดียว ทั้งๆ ที่เลือกผู้แทน 2 ประเภท
2.นโยบายพรรคการเมืองที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกส่วนในสังคม โดยเฉพาะผู้ที่ยากไร้และเสียเปรียบ จะถูกองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าเป็น “ประชานิยม” ขัดต่อหลักการเศรษฐกิจของรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่นโยบายหลายเรื่องนั้นเป็นไปเพื่อสร้างโอกาสและความเข้มแข็งในการทำมาหากิน ช่วยลดรายจ่าย กระจายรายได้ และสร้างความเป็นธรรมในทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น แต่ถ้าเป็นพรรคการเมืองที่อิงกับเผด็จการ หากมีนโยบายเช่นนั้นบ้าง ก็จะได้รับการตีความว่าเป็น “ประชารัฐ” คือทำได้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
3.แม้ประชาชนจะลงคะแนนอย่างท่วมท้นเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นรัฐบาล แต่ถ้าพรรคการเมืองนั้นไม่ยอมให้กับอำนาจนอกระบบ เช่น การสนับสนุนคนนอกพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคการเมืองนั้นก็จะถูกขัดขวางจากศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ และการใช้อำนาจนอกระบบที่ขัดหลักนิติธรรมจนตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรืออาจถูกยุบพรรคด้วยเหตุต่างๆ เช่นในอดีต และแม้หากตั้งรัฐบาลได้ ก็ต้องเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากท่วมท้น แต่อ่อนแอที่สุด บริหารประเทศให้เป็นไปตามความประสงค์ของประชาชนไม่ได้ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคจะถูกเล่นงานสารพัดรูปแบบ เพื่อนำไปสู่การถอดถอนของศาลรัฐธรรมนูญจนรัฐบาลล้ม และมีรัฐบาลแบบใหม่ขึ้นแทนโดยอาศัยการตีความและวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
4.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยฯ กำหนดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ได้ยากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จนถึงขั้นที่พรรคการเมืองที่ได้ชัยชนะการเลือกตั้งถึงร้อยละ 90 ก็ยังแก้ไขไม่ได้ ไม่ว่าประเทศจะประสบวิกฤตเช่นใด ไม่ว่าประชาชนจะต้องการเพียงใด เพราะถ้าพรรคการเมืองเล็ก ก็ดี สว.ก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญก็ดีขัดขวาง ทุกอย่างจะเป็นหมันหมด จึงเป็นการวางรากฐานให้กับระบบอำนาจนิยมที่แฝงตัวอยู่ในกลไกต่างๆ ของรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ฯลฯ เพื่อกำหนดชะตากรรมของคนทั้งประเทศโดยไม่ฟังเสียงพวกเขา
5.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยฯ มุ่งปกป้องการรัฐประหาร ผู้ทำรัฐประหารและผู้ปฎิบัติงานที่ร่วมมือกับคณะรัฐประหาร รวมถึงตัวนายมีชัยฯ และพวกอย่างชนิดไม่อายฟ้าดิน ไม่เห็นหัวประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่สนใจสังคมโลกที่ต้องการเห็นการเคารพหลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชนและพันธกรณีระหว่างประเทศ เพราะนายมีชัยฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน คสช. ให้คง คสช. และอำนาจของหัวหน้า คสช. ซึ่งเป็นทั้งนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการไว้ในบทเฉพาะกาลจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ และยังรับรองการ
นิรโทษกรรมตนเองของ คสช. ตามรัฐธรรมนูญ 2557 ตลอดจนให้ถือว่าการกระทำของ คสช. รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าของบุคคลใด ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั้งสิ้น (แม้ว่าจะมีการทุจริตทำผิดกฎหมาย ล้มล้างรัฐธรรมนูญ)รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งน่าจะเป็นประชาธิปไตยมากกว่าฉบับชั่วคราวที่ใช้อยู่ กลับมีบทบัญญัติเผด็จการแทรกไว้อย่างเต็มตัว หัวหน้า คสช. สามารถใช้อำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการทำอะไรก็ได้ ตั้งแต่ช่วงจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล ฯลฯ โดยมีนายมีชัยฯ ร่วมคณะจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แค่นี้ก็คงชัดเจนแล้วว่านายมีชัยฯ กำลังทำอะไร และกลัวอะไร จึงเป็นที่มาของวาทกรรม “ฉบับปราบโกง” (ใครก็ได้) ที่ไม่ใช่พวกตัวเอง
พรรคเพื่อไทยขอเรียนว่า ข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ต่อร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับนายบวรศักดิ์ฯ จนถึงนายมีชัยฯ ของพรรค กระทำไปบนพื้นฐานของความคิดที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประเทศไทยต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยที่เป็นสากลและมีความเป็นไทยดังได้กล่าวมาข้างต้น และที่สำคัญเร่งด่วนที่สุด คือต้องฟื้นฟูความสามัคคี ปรองดอง ลดความหวาดระแวงในหมู่ประชาชน ด้วยการสถาปนาความยุติธรรมตามหลักนิติธรรมที่แท้จริง องค์กรที่ใช้อำนาจรัฐทั้งหลายต้องใช้อำนาจอย่างเที่ยงธรรม ไม่มีอคติ หากไม่ร่วมกันเดินไปบนหนทางนี้ สังคมไทยจะตกอยู่ในอันตราย
แม้ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ “มีชัย” จะมีเป้าหมายเพื่อลิดรอนและกำจัดพรรคเพื่อไทยเป็นการเฉพาะ ดังที่ได้ชี้ให้เห็นแล้วข้างต้น พรรคเพื่อไทยมิได้วิตกกังวลไปกับกรณีดังกล่าว มากไปกว่าความห่วงใยต่อผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติและประชาชน ความห่วงใยต่อการเคารพอำนาจอันแท้จริงของพี่น้องประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เพราะประชาชนควรจะมี “สิทธิอันชอบธรรม” ในการพิจารณาเลือกกติกาที่จะมากำหนดทิศทางประเทศ เลือกกติกาที่เอื้อต่อการพัฒนาฟื้นฟูประเทศ และเลือกกติกาที่จะไม่ส่งผลเสียหายต่อประเทศในระยะยาว.
พรรคเพื่อไทย
20 กุมภาพันธ์ 2559

Tuesday, January 5, 2016

ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาตกต่ำภายในระยะเวลา 25 ปี

หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯหลายแห่งกลัว ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภายในระยะเวลา 25 ปี เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อะไรจะเกิดขึ้น  ถ้าความเห็นของจิมถูกต้อง
(โปรดพิจารณาบทบันทึกการให้สัมภาษณ์ของวันนี้เพื่อหาทางว่า  คุณและครอบครัวจะสามารถใช้ชีวิต ได้อย่างไม่เดือดร้อนจากหายนะที่มีมูลค่าถึง 100,000,000,000,000 ดอลลาร์ นี้ได้อย่างไร?)

สตีฟ ไมเออร์ส:  (ต่อไปจะเรียกว่า  สตีฟ)
ผม...สตีฟ ไมเออร์ส  ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมให้สัมภาษณ์ในรายการ มันนี่ มอร์นิ่ง กับคุณ จิม ริกคาร์ดส (ต่อไปจะเรียกว่า จิม) ที่ปรึกษาทางด้าน การคุกคามทางการเงินและสงครามนอกแบบ(the Financial Threat and Asymmetric Warfare)   ของเพนตากอน และ ซี.ไอ.เอ

เมื่อเร็วๆนี้ หน่วยงานด้านความปลอดภัยของเราทั้ง 16  หน่วย  ได้เสนอรายงานที่น่าเป็นห่วง


หน่วยงานเหล่านี้ รวมไปถึง CIA, FBI, กองทัพบก และทัพเรือ  ได้เริ่มทำการประเมินถึงผลกระทบต่อ เงินดอลลาร์ซึ่งมีค่าลดลงในฐานะที่เป็นเงินสำรองของทั่วโลก    และฐานะความเป็นมหาอำนาจชั้นนำของเราที่ครอบคลุมไปทั่วโลกกำลังถูกคุกคามทำลาย ..  ซึ่งพอจะเทียบได้กับการสิ้นสุดของอาณาจักรอังกฤษภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2   และเกมจะจบลงด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับโลกที่จะก้าวไปสู่ยุคของความเป็นอนาธิปไตยที่แพร่ขยายไปทั่ว

จิม ริคคาร์ดส กลัวว่า คำเตือนของตนและมิตรสหาย จะถูกเพิกเฉยจากผู้นำทางการเมืองของเราและธนาคารกลาง        เป็นแนวโน้มที่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคมืดมนทางเศรษฐกิจในประวัติ ศาสตร์แห่งชาติเรา

สิ่งหนึ่งที่จะจุดประกายให้แก่ 25 ปีแห่งการตกต่ำครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจ   ทุกวันนี้เรากำลังก้าวไปสู่การทดสอบในทุกๆเรื่องที่เขาได้เปิดเผยออกมา   เนื่องจากความสับสนวุ่นวายที่น่าจะเกิดขึ้นภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้   ที่คนอเมริกันทุกคนควรจะรับฟังคำเตือนของเขาก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป   ขอขอบคุณ คุณ จิม ที่มาร่วมรายการกับเรา

จิม:  ด้วยความยินดีครับ  ดีใจที่ได้คุยกับคุณ

สตีฟ: ในช่วงเริ่มต้น ปี 80 คุณเป็นคนหนึ่งในทีมที่ช่วยเจรจาเพื่อยุติกรณีวิกฤตตัวประกันในอิหร่าน   ในยุคปี  90  เมื่อมีการเปิดเผยว่านโยบายการจัดการเงินทุนระยะยาวของ Wall Street เป็นสาเหตุให้เกิดความล้มเหลวของตลาดเงิน   ธนาคารกลางได้เปิดโอกาสให้คุณเข้ามาแก้ไขปัญหาหายนะภัยที่อเมริกากำลังจะตกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย   และหลังจากเหตุการณ์ 9/11 คุณได้รับมอบหมายจาก CIA ให้ทำการตรวจสอบคนในวงการธุรกิจหลังจากเหตุการณ์โจมตีของผู้ก่อการร้าย

จิม: ครับ ถูกต้อง    ปัญหาอยู่ที่ว่า CIA ไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านตลาดเงินซึ่งควรจะต้องมี   ก่อนที่จะเริ่มต้นโลกาภิวัฒน์    ตลาดทุนไม่ใช่ส่วนที่แท้จริงของการต่อสู้     CIA เองก็มีส่วนร่วมอยู่บ้างในบาง กรณี   พวกเขามีการเตรียมคนใหม่ๆซึ่งผมเองก็มีส่วนในการชักนำผู้เชี่ยวชาญจากวอลสตรีท เข้ามาในองค์กร

เรื่องนี้นำไปสู่โครงการพยากรณ์

ดังนั้น CIA พูดว่าอย่างไร?  เอาละ..ถ้าจะมีการเล่นงานอื่นใดอีก....การใช้สัญญานเรื่องราคามาพิจารณาบทบาทของผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาด  ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย  หรือยุทธศาสตร์ของศัตรูอเมริกา  คุณพอ
จะมองออกไหม? คุณได้รับข้อมูลหรือไม่ เพื่อที่จะทำลายแผนการ(ร้าย)และรักษาชีวิตของชาวอเมริกัน?

สตีฟ :
ระบบที่คุณสร้างขึ้นสำหรับโครงการพยากรณ์  จริงๆแล้วเพื่อทำนายการโจมตีของผู้ก่อการร้ายและขัด ขวางการก่อการร้ายเมื่อปี 2006

จิม:  7 สิงหาคม 2006  ผมได้รับอีเมล์จากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง    เธอบอกว่า “จิม..เราได้รับสัญญาณที่ชัดเจนจากสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์  ดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้ก่อการร้ายจะทำการโจมตี”  เรามีหลักฐานยืนยัน    ผมถูกปลุกขึ้นตอนตีสองในห้องทำงาน  เริ่มดูข่าว CNN และเรื่องราวทั้งหมดของ MI-5 (หน่วยสืบราชการลับอังกฤษ) และนิว สกอตแลนด์ยาร์ด  ที่เริ่มออกมาสกัดกั้นการโจมตีด้วยการจับกุมผู้ที่ต้องสงสัยว่าให้ความร่วมมือกับผู้ก่อการร้าย     แสดงว่าระบบนั่นทำงานได้ผล    อย่างไรก็ตามมันยังไม่ดีพอที่จะพยากรณ์การโจมตีของผู้ก่อการร้ายได้     เช่นเดียวกับยุทธวิธีในการโจมตีจากคู่ต่อสู้หรือศัตรูของสหรัฐฯ

สตีฟ :  เป็นปีแล้ว  จนถึงบัดนี้  เราได้ช่วย เพนตากอนและ CIA เตรียมการยกระดับการทำสงครามนอกแบบและการคุกคามทางการเงิน    เพราะทุกวันนี้เกิดความกลัวกันมากว่าเราอาจจะถูกโจมตีทางการเงินอย่างฉับพลันแบบเดียวกับที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกโจมตี   อย่างที่คุณได้กล่าวถึงเมื่อก่อนหน้านี้

จิม :  ซึ่งบัดนี้ก็เกี่ยวข้องในหลายๆหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ

ประวัติในกรุงวอชิงตัน   ที่กระทรวงการคลังและธนาคารกลางดูแลรับผิดชอบเงินดอลลาร์
เพนตากอนและหน่วยสืบราชการลับทั้งหลายต่างดูแลการคุกคามชนิดอื่นๆ  แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อดอลลาร์เป็นตัวคุกคาม
 

คนอเมริกันทั่วไปรู้ว่า :

ธนาคารกลางอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ  3.1 ล้านล้าน ดอลลาร์ (แต่มี “เงินใหม่” มากกว่า 3.1 ล้านล้าน ดอลลาร์ ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจของเรามาตั้งแต่ปี 2008)
เรามีหนี้สาธารณะอยู่ 17.5 ล้านล้าน ดอลลาร์
เรามี หนี้สินรวมกันทั้งหมด 12,700,0000,000,000 ล้านดอลลาร์

สิ่งเหล่านี้คืออะไร?


ได้แก่  การรักษาพยาบาล   ความช่วยเหลือทางการแพทย์   สวัสดิการสังคม   กองทุนกู้ยืมเพื่อการ ศึกษา  แฟนนี่ เม*(สำนักงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งชาติ).... เฟรดดี้ แมค**(สำนักงานสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง)  FHA***…(การบริหารการเคหะแห่งชาติ)  (เงินอุดหนุน)ตามรายการดังกล่าวนับวันยิ่งมากขึ้นและมากขึ้น ไม่มีทางที่จะจ่ายได้
หนี้สินที่ไม่สามารถนำมาใช้เพื่อการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเทียมของเราได้อีกต่อไป
ในยามที่เศรษฐกิจขยายตัวระหว่างปีทศวรรษ 1950 -1960    หนี้ทุกๆดอลลาร์ที่ถูกสร้างขึ้นได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของเราให้โตขึ้นถึง 2.41 ดอลลาร์  ช่างเป็นช่วงที่ดีมาก     แต่โดยสภาวะทรงตัวทางเศรษฐกิจ(สภาพเศรษฐกิจที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น การว่างงานสูง และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีเพียงที่เล็กน้อย )ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70   ที่ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงภาวะซบเซา   ดังนั้นหนี้ที่ 1 ดอลล่าร์  จะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจได้เพียง  41 เซ็นต์ เท่านั้น    เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นการตกต่ำอย่างหนัก
ท่านรู้ตัวเลขของปัจจุบันหรือยังว่า  ขณะนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจจากมูลหนี้ 1 ดอลลาร์เหลือเพียง 3 เซ็นต์ เท่านั้น


เรามีหนี้กองโต  ในขณะที่การเติบโตของเรายิ่งมายิ่งน้อย   เหมือนแนวโน้มที่เริ่มจาก 20.41 เป็น 40 เซ้นต์  จนถึง 3 เซ็นต์   และอีกไม่ช้าคงติดลบ   นี่เป็นสัญญาณของระบบที่ซับซ้อนไปสู่หายนะ

สตีฟ :  จริงๆแล้ว  นี่เป็นเรื่องที่คุณได้พูดไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของคุณเรื่อง “ความตายของเงิน” ซึ่งชื่อของมันแสดงนัยอย่างชัดเจน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่า        คุณเตือนเราถึงเรื่องเศรษฐกิจจะก้าวสู่ภาวะ 25 ปี แห่งการตกต่ำ   นั่นเท่ากับว่าตลาดหลักทรัพย์ดิ่งลงถึง 70% ในชั่วข้ามคืน

จิม :  คุณก็รู้...เมื่อผมใช้คำว่า 25ปี ของเศรษฐกิจตกต่ำ  ดูเหมือนว่าจะสุดโต่งไปสักหน่อย   แต่ไม่ใช่...ในประวัติศาสตร์    สหรัฐฯเราเคยประสบกับภาวะเช่นนี้มาแล้วจากปี 1870–1900   นักเศรษฐศาสตร์เรียกกันว่าภาวะตกต่ำที่ยาวนาน ซึ่งมีขึ้นก่อนเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่(Great Depression)  ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1929- 1940 ซึ่งนั่นก็ค่อนข้างจะนาน

ในปัจจุบันสหรัฐฯอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
สตีฟ:  คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคุณที่ว่าเวลานี้เศรษฐกิจตกต่ำ   คำเหล่านี้ทำให้คิดย้อนไปเมื่อปี 1930 และเข้าแถวรับซุปฟรี (สงเคราะห์)

จิม:  ทุกวันนี้เราก็เป็นเช่นนั้น   พวกเขามีกำลังซื้ออาหารก็แค่ตามซุปเปอร์มาร์เกตในท้องถิ่นเท่านั้น   เพราะว่าคนอเมริกัน 50 ล้านคนใช้แสตมป์สะสมซื้ออาหาร   ไม่ใช่ว่าเราไม่มีภัยพิบัติ    เรามีภัยพิบัติมากมายเพียงแต่มันซ่อนเร้นอยู่ในที่ต่างๆ

อัตราการว่างงานทุกวันนี้จริงๆแล้วสูงถึง 23%  ถ้าคุณใช้วิธีคำนวณที่ถูกต้อง

อัตราว่างงานที่แท้จริง

สตีฟ: และคุณชี้นิ้วไปยัง ธนาคารกลาง  รัฐสภา  และทำเนียบขาว

จิม: ผมเพิ่งเข้าประชุมกับรัฐมนตรีคลังและผมพูดว่า  “ธนาคารกลางและกระทรวงการคลังนั่นแหละคือภัยคุกคามความปลอดภัยของชาติที่แท้จริงไม่ใช่ อัล กออิดะห์”  และที่นี่ในอาคารนี้กับกลุ่มคนเหล่านี้   พวกคุณกำลังทำลายเงินดอลลาร์และมันคือเรื่องของช่วงเวลาก่อนที่หายนะจะมาถึง   และผมก็ได้พิสูจน์ให้บรรดาวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯได้รู้เห็นก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้


ผมได้เตือนวุฒิสมาชิกไปว่า   บางทีเราไม่อาจหยุดแผ่นดินไหวบนรอยแยกที่ซาน แอนเดรียส ได้    แต่คงไม่มีใครคิดที่จะส่งวิศวกรของกองทัพไปที่นั่นเพื่อทำให้รอยแยกที่ ซาน แอนเดรียส  กว้างขึ้น

แต่การพิมพ์ธนบัตร   การสร้างหนี้  และใช้นโยบายทางการเงินแบบไม่ไตร่ตรองของธนาคารกลาง   เรากำลังทำให้รอยแยกซาน แอนเดรียส ใหญ่ขึ้นทุกวัน     และเมื่อไรที่คุณทำให้ระบบที่ซับซ้อนขยายใหญ่มากขึ้น      ความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหากแต่มันจะกลายเป็นระดับเลขยกกำลังเลยทีเดียว     ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจจินตนาการได้ในเวลานี้     หายนะยังไม่เกิดขึ้นในทันทีทันใดหรอก แต่   พลวัตรของมันกำลังพัฒนาขึ้น
(หมายเหตุบรรณาธิการ:   เพราะการเปิดเผยของจิม ริคคาร์ดส  เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกๆชีวิตในอเมริกา    รายการ มันนี่ มอร์นิ่ง  ได้ส่งสำเนาหนังสือ “ความตายของเงินตรา” ให้แก่ผู้ที่ต้องการประเทืองปัญญา)

สตีฟ:  
จิม..คุณใช้เวลาไปมากมายในหน่วยข่าวกรอง....  มันต่างกันมากไหมกับที่เราได้ยินจาก แคปปิตอล ฮิลที่ว่าทำไมการกล่าวหาที่คุณเขียนในหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุให้มีการโต้เถียงกันมากในวอชิงตัน

จิม : เมื่อเร็วๆนี้ผมได้พบปะพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัวใน ร๊อคกี เม๊าท์เทน กับนักการธนาคารกลางคนสองคน    คนหนึ่งจาก ธนาคารกลาง และอีกคนหนึ่งจากธนาคารแห่งอังกฤษ   พวกเขาพูดถึงเรื่องของ ตนเอง   ซึ่งไม่อยากให้มีการเปิดเผยในที่สาธารณะ    

ธนาคารกลางพยายามทำการโฆษณาชวนเชื่อไปเล็กน้อย    โกหกเรื่องเกี่ยวกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจ   พูดถึงการเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ   ชักจูงให้เราจับจ่ายใช้สอย     ธนาคารกลางไม่รู้เลยหรือว่ากำลังทำอะไรอยู่....คุณสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาตามที่คุณต้องการ    แต่ถ้าประชาชนไม่ยอมกู้ยืม  ไม่ใช้จ่าย   เศรษฐกิจของคุณก็พัง  แม้จะพิมพ์เงินออกมาก็ตาม   คุณคงเข้าใจในเรื่องเช่นนี้

เช่นผมออกไปทานข้าวนอกบ้าน   และทิปบริกร    แล้วบริกรคนนั้นเอาเงินที่ผมทิปไปจ่ายค่าแท๊กซี่กลับบ้าน    คนขับแท๊กซี่เอาค่าโดยสารไปเติมเชื้อเพลิง       จากตัวอย่างนี้เงินของผมมีอัตราเร่งเท่ากับสาม    หนึ่งเหรียญสนับสนุน 3 เหรียญของสินค้าและบริการ   การทิป    การขึ้นแท๊กซี่    และการเติมเชื้อเพลิง     แต่ถ้าผมรู้สึกสบายๆ  ผมอยู่บ้าน  ดูโทรทัศน์  ไม่มีการใช้เงิน  ดังนั้นเงินของผมจะมีอัตราเร่งเท่ากับศูนย์   แต่ถ้าผมนำเงินไปฝากธนาคารผมไม่ได้ใช้เงิน      มาดูกันซิว่าอะไรที่เกิดขึ้นจริงกับอัตราเร่งของเงิน      มันก็จมอยู่ตรงนั้นและยิ่งจะจมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว


ถ้าจะเปรียบเทียบกับการลดลงของอัตราเร่งในวันนี้กับเมื่อตอนเกิดวิกฤตครั้งใหญ่    การดิ่งลงของอัตราเร่งเมื่อเกิดวิกฤติครั้งนั้นยังลงลึกน้อยกว่าตอนนี้

ถ้าคุณเปรียบเทียบว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1920  ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่แล้ว  มันมีส่วนคล้ายกันมาก


ดังนั้น..มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมา

ลองคิดว่า...ถ้ามันเป็นเครื่องบินที่กำลังจะตก    และใกล้จะกระแทกพื้นแล้ว   ธนาคารกลางได้พยายามคว้าคันบังคับเพื่อดึงเครื่องให้กลับขึ้นอีก    แต่..เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่มันไม่ได้ผล   เรากำลังดิ่งลงสู่พื้นดิน

สตีฟ:   เราเพิ่งพบเห็นกับเรื่องของจำนวนตัวเลขที่น่าตื่นตระหนก     สัญญาณเหล่านี้กำลังจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่      มาดูกัน....ผมสามารถสรุปได้ว่าไม่มีใครปฏิเสธว่าประเทศเรากำลังมีวิกฤตในเรื่องหนี้สิน      แต่ที่คุณพูดว่า...เราไม่สามารถสร้างหนี้ได้อีกแล้วโดยปราศจากเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงเช่นนี้      เราเกือบจะจมน้ำอยู่แล้ว นั่นเป็นสัญญาณข้อแรก     สัญ ญาณข้อที่สองคืออันตรายจากการชะลอตัวของอัตราเร่งทางการเงินของเรา

มันจมดิ่งลงไปในระดับที่เคยพบเห็นมาแล้วตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 1930   มีสัญญาณอย่างอื่นอีกหรือไม่ที่หน่วยงานข่าวกรองกำลังจับตาอยู่        และนำเสนอโดยเร็วต่อความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้?

จิม:  มีครับ สตีฟ  มันมีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงออกมา  ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก   หนึ่งในนั้นผมกำลังเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด      และผมก็ทราบว่าผู้ปฏิบัติงานในหน่วยข่าวกรองทั้งมวลก็กำลังมองอยู่เช่นกัน   เนื่องจากมันครอบคลุมถึงระดับพื้นฐาน  ที่เรียกว่า ดัชนีแห่งความทุกข์ยาก  ดังสมการนี้                   ดรรชนีของความทุกข์ = อัตราเงินเฟ้อจริง + อัตราการว่างงานจริง

ถ้าคุณดูดัชนีแห่งความทุกข์ในปัจจุบันนี้เทียบกับช่วงภาวะชะงักงันในปลายทศวรรษที่ 1970  และช่วงต้นทศวรรษที่ 1980   ซึ่งประชาชนอเมริกันจำได้เป็นอย่างดีว่า...เลวร้ายมาก  มันนำไปสู่ความไม่มั่นคงของสังคม


ลองกลับไปดูเมื่อตอนที่เกิดวิกฤตฯครั้งใหญ่..ดรรชนีแห่งความทุกข์เมื่อครั้งนั้นอยู่ที่ 27  แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 32.89

     
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เดี๋ยวนี้มันแย่ยิ่งกว่าช่วงระหว่างที่เกิดวิกฤติฯครั้งใหญ่เสียอีก

อะไรที่แย่ๆเกิดขึ้น เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ?
ธุรกิจทั้งหลายไม่มีเงินชำระหนี้    ความสูญเสียโดยพื้นฐานตกอยู่ที่ธนาคาร    ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางได้อัดฉีดเงิน(ภาษี) เพื่อช่วยเหลือธนาคาร   และอะไรจะเกิดขึ้น   หากธนาคารกลางเองกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย?

สตีฟ :   ด้วยสัญญาณเหล่านี้คุณก็เลยเห็นคล้อยว่า  ธนาคารกลางกำลังจะล้มละลาย?
จิม :  แน่นอน..ในบางเรื่องธนาคารกลางประสบกับความล้มละลายไปเรียบร้อยแล้ว
ผมได้คุยกับคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลาง  ผมกล่าว  “ผมคิดว่าธนาคารกลางล้มละลายแล้ว”   ท่านผู้จัดการคัดค้านและกล่าวว่า “ ไม่หรอก เราไม่ได้ล้มละลาย” แต่ผมได้เน้นกับเธออย่างหนักแน่นจนเธอพูดว่า “เอาละ..เรายอมรับ  แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่”

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ     ผู้จัดการธนาคารกลางยอมรับกับผมโดยส่วนตัวว่าธนาคารกลางล้มละลาย   แต่กล่าวว่า  ไม่มีปัญหาอะไร   เพราะทุนไม่มีความจำเป็นสำหรับธนาคารกลาง ...เอาละ...ผมจะขอเสนอว่า เงินทุน มีความจำเป็นเพียงใดสำหรับธนาคารกลาง    โปรดดูแผนภูมิ


แสดงให้คุณเห็นว่า       เมื่อเร็วๆนี้ทุนของธนาคารกลางได้เพิ่มขึ้นถึง 56,000,000,000(ห้าหมื่นหกพันล้านล้านเหรียญ) แสดงุถึงความมั่นคง   คุณอาจประหลาดใจว่า เงินห้าหมื่นหกพันล้านเหรียญ  เป็นเงินจำนวนมหาศาล   เป็นรากฐานเงินทุนที่มั่นคงมาก

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด
คุณจะต้องเปรียบเทียบระหว่างเงินทุนกับความสมดุลทางบัญชี  ว่ามีจำนวนทรัพย์สินและหนี้สินมากน้อยเท่าใดที่เงินทุนสามารถรองรับได้


คุณจะต้องตกใจเมื่อเห็นภาพนี้          เพราะภาระหนี้ทางบัญชีหรือหนี้สินของธนาคารกลางมีมากถึง 4,300,000,000,000 ดอลลาร์(สี่ล้านสามแสนล้านเหรียญ)  ถ้าคุณแบกหนี้จำนวนขนาดนี้บนฐานเงินทุนแค่ห้าหมื่นหกพันล้านเหรียญ   ต้องถือว่าไม่มีความมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนปี 2008 มูลค่าหนี้ต่อทรัพย์สินของธนาคารกลางอยู่ที่ประมาณ 22:1   หมายความว่าเงินทุนแต่ละเหรียญ  จะรับภาระหนี้  22 เหรียญ   แต่ในปัจจุบันนี้   มูลค่าหนี้สินต่อทรัพย์สินจะมีสัดส่วนเท่ากับ77:1


 ใช่ ...เงินทุนเพิ่มขึ้นแต่หนี้กลับเพิ่มขึ้นมากกว่า

สตีฟ:  คำเตือนของคุณได้ถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจเลย         ในคำรายงานงบประมาณปีนี้วุฒิสมาชิก แรนด์ ปอล ก็ได้อ้างอิงงานของคุณ     ด้วยเหตุใดเราจึงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเราเข้าไปใกล้กับขอบเหวแห่งความล่มสลายแบบอาณาจักรโรมัน       จริงๆแล้วเรามีภาพของวุฒิสมาชิกพอล ที่ เสนอแนะต่อประชาชนชาวอเมริกันให้รับฟังคำเตือนของคุณ

วุฒิสมาชิก แรนด พอล:    จิม  ริคคาร์ดส  ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการล้มละลายของธนาคารกลางที่ไม่ได้เขียนลงไปบนพื้นฐานของการตลาด   ธนาคารกลางได้แยกเงินทุนของตนออก    แน่นอน....ธนาคาร
กลางได้นำข้อสังเกตนี้ใส่ไว้ในงบดุลในด้านค่าใช้จ่ายของตน     และไม่ได้บันทึกมันลงไปในด้านการ ลาด     ถ้าทำเช่นนั้น  พวกเขาจะพัง

จิม :  ก่อนอื่น..ผมขอยกย่องท่านวุฒิสมาชิก พอล แรนด์  ท่านเป็นเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจถึงอันตรายอันนี้
แต่ปัญหาของมันไม่ได้จำกัดอยู่ที่ธนาคารกลางเท่านั้น   มันลุกลามไปยังธนาคารของเอกชนทั้งระบบอีกด้วย

มีหนี้สินจำนวนประมาณ หกแสนล้านเหรียญ(600,000,000,000)ในงบดุลของระบบธนาคารของเรา    นานมา  แล้ว    การเติบโตของธนาคารและหนี้สินเป็นสองเท่าของการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ   แต่เมื่อไม่นานมานี้  มันเกิดระเบิดขึ้น...ปัจจุบันมันสูงขึ้นถึง  30:1


หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การเติบโตทางเศรษฐกิจทุกๆหนึ่งดอลลาร์    เป็นการสร้างสินเชื่อขึ้น 30 ดอลลาร์โดยระบบธนาคาร

ทุกอย่างไม่มีความมั่นคง

ผมสามารถให้ตัวอย่างที่ดีมากแก่คุณ  ซึ่งเป็นความจริงจากฟิสิคส์   ถ้าคุณมื...เอาเป็นว่า    ยูเรเนียมก้อนหนึ่งที่มีลักษณะสี่เหลี่ยม  ซึ่งแน่นอนมันไม่มีพิษมีภัยอะไร      สิ่งที่เราเรียกกันว่ากึ่งอันตราย ก็คือกัมมันตรังสีของมัน     ตอนนี้คุณคิดจะจัดการกับมันโดยแบ่งออกมาก้อนหนึ่งมีขนาดเท่าส้มโอ  และ อีกชิ้นหนึ่งที่รูปร่างเหมือนไม้เบสบอล      นำเอาไปใส่ในท่อแล้วยิงมันออกด้วยการระเบิดอย่างรุนแรง และนั่นจะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ซึ่งสามารถทำลายเมืองทั้งเมือง    การทำให้มันเปลี่ยนรูปทรงและเกิดเป็นผลขึ้นเราเรียกมันว่า  จากกึ่งอันตรายไปสู่อันตรายสูงสุด

สตีฟ:  จิม...คุณกำลังเห็นอาการบางอย่างว่าตลาดหุ้นของเราว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่จุดอันตรายอย่างนั้นหรือ?

จิม:  ใช่ครับ   โชคร้ายสักหน่อย   เราเห็นอาการมากมายในนั้น  อาการพื้นฐานอย่างแรกที่สำคัญก็คือ

อัตราส่วนของการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
เพราะเราจำได้ว่า มูลค่าของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นอนุมานได้ว่าเป็นการแสดงถึงปัจจัยพื้นฐานทาง ด้านเศรษฐกิจ   ซึ่งมันไม่ได้แสดงถึงความเป็นไปในตัวมันเอง   แต่ถ้าคุณมองว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในอัตราส่วนเมื่อเร็วๆนี้    มันพุ่งขึ้นสูงถึง 203%.


  ก่อนที่จะเกิดภาวะถดถอย อัตราส่วนของมันอยู่ที่183%.


ลองกลับไปดูฟองสบู่ทางเทคนิคที่โด่งดัง   และเกิดแตกขึ้นเมื่อปี 2000 ตอนนั้นอยู่ที่ 204 %.


และถ้าคุณต้องการข่าวที่น่ากลัวที่สุด   ก่อนหน้าวิกฤตฯใหญ่  ตัวเลขอยู่ที่  87%.


 กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์  เมื่อเทียบเป็นร้อยละกับผลิตภัณฑ์มวลรวม  (GDP)  สูงเป็นสองเท่าของก่อนที่จะเกิดวิกฤตฯใหญ่    ดังนั้น...จึงเป็นตัวชี้วัดที่ดีจริงๆสำหรับคำถาม  “ตลาดหลักทรัพย์กำลังจะพังหรือ?”ข้อมูลส่วนใหญ่บอกว่า  “ใช่แล้ว  เรากำลังจะเป็นอย่างนั้น”    แต่ก็มีตัวชี้วัด และสัญญาณเตือนอย่างอื่นอีกถ้าคุณต้องการ แต่มันจะทำให้ตกใจหนักขึ้นอีก..นั่นก็คือ มวลรวมมูลค่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ตราสารอนุพันธ์)

ที่แน่นอนมีหุ้นจำนวนหนึ่งของบริษัท IBM ที่ยังไม่ได้ชำระ    เราก็รู้หมายเลขหุ้นเหล่านั้น  แต่มีการซื้อขายกันล่วงหน้าอย่างไม่จำกัด   ผมสามารถเขียนข้อเสนอซื้อขายล่วงหน้าหุ้น IBM และหุ้นตัวอื่นๆในตลาดหลักทรัพย์ได้ทั้งวัน  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
ขณะนี้ ตราสารอนุพันธ์ทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า เจ็ดแสนล้านล้านดอลลาร์(7,000,000,000,000 ล้านล้าน)  ไม่ใช่ระดับหมื่นล้านนะครับ   เจ็ดแสนล้านล้านเท่ากับสิบเท่าของ GDP  ทั้งโลกรวมกัน


หายนะนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้   ดังนั้นเราต้องถามตัวเองว่า มันจะเลวร้ายไปถึงไหน?

เอาละ...อะไรเกิดขึ้นเมื่อปี 2007-2008 เมื่อตลาดประสบกับหายนะ    พวกเรายังจำกันได้ถึงราคาหุ้น     ราคาอสังหาริมทรัพย์   ราคาบ้านอยู่อาศัย  ตกต่ำลง    ทั้งหมดนั้นเกิดความสูญเสียความมั่งคั่งไป ประมาณ  หกแสนล้านเหรียญ ($60 trillion)
ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ว่า  ระบบมันใหญ่ขึ้น   ดังนั้นผมคาดว่าครั้งนี้เราจะสูญเสียความมั่งคั่งไปประมาณหนึ่งล้านล้านเหรียญ   และเป็นไปได้ที่จะมากกว่านี้

เราอยู่ในช่วงวิกฤติของรัฐ   และกำลังขยับเข้าใกล้รัฐแห่งมหาวิกฤติ  เมื่อระบบถูกกระทบอย่างรุนแรง  และยังมีตัวเร่ง  และจุดเปราะบางที่ควบคุมไม่ได้  และมีหลายจุดที่ผมได้ทำการสำรวจมา

สตีฟ:  จิม...ผมอยากใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อแลกเปลี่ยนกับคุณ เกี่ยวกับจังหวะก้าวของประชานอเมริกันในเรื่องการลงทุนและจัดการเรื่องการเงินของตน  เพื่อเตรียมตัวเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณและเพื่อนพ้องได้ทำนายไว้     แต่ตอนนี้โปรดชี้ให้เห็นจุดเปราะบางเหล่านั้นด้วย
จิม: จุดเปราะบางสำคัญจุดหนึ่ง  ให้เรามามองถึงต่างชาติที่เป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลอเมริกา    ซึ่งบัดนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำความเข้าใจ   เราทุกคนรู้ว่าการกระทรวงการคลังได้ออกตราสารหนี้ทุกประเภทมีมูลค่ามากกว่า   หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านเหรียญ   คำถามคือ  ใครเป็นผู้ซื้อ?

ชาวต่างชาติหนี้สินของสหรัฐฯส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ   ใครล่ะ?  จีน   รัสเซีย  และประเทศต่างๆ แน่นอน...ประเทศที่ไม่เป็นมิตรของเรา   สามารถขายทิ้งได้ทุกเมื่อหากเขาต้องการ   เอาล่ะ...นั่นเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว   ต่างชาติที่เป็นเจ้าหนี้ของสหรัฐฯ กำลังดึงถ่วงเรา


ทั้งนี้ยังมีเรื่องที่น่าสนใจมากกว่าอีก   ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงโครงการที่ผมทำร่วมกับ CIA  ...โครงการพยากรณ์ และเราพูดว่า...   คุณสามารมองเห็นไม่เพียง แต่การเคลื่อนไหวทางการตลาด  แต่คู่แข่ง ศัตรู  ผู้ก่อการ ร้าย  และอื่นๆ กำลังเคลื่อนไหวในตลาดการ เงินอยู่

พวกเรารู้กันดี..เรื่องที่รัสเซียรุกรานไครเมียในฤดูใบไมผลิ ปี 2014 สมมุติว่าคุณเป็นปูติน    คุณรู้ดีว่าคุณกำลังรุกรานไครเมีย   คุณสามารถคาดหมายได้ว่าอเมริกาจะทำการแซงชั่นคุณในด้านการเงิน     คุณจะ ทำอย่างไร?      โดยพื้นฐานแล้วคุณสามารถบรรเทาผลกระทบจากการแซงชั่น     โดยเริ่มทำการลดค่า เงินล่วงหน้าเพื่อว่าเมื่อคุณเคลื่อนไหวและกระทรวงการคลังพยายามต่อต้านคุณ    นั่นหมายความว่าคุณโดดเดี่ยวตัวเอง

เอาละกลับมาดูเมื่อเดือนตุลาคม 2013 เป็นช่วงที่รัสเซียเทขายพันธบัตรเดือนแล้วเดือนเล่า

                     
เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังดำเนินการบางอย่างอยู่  เพื่อทำสงครามทางการเงินเพื่อ
ต่อต้านสหรัฐฯ     แต่คาดว่า  มีเรื่องที่ร้ายกว่านั้น


เรารู้ว่าจีนและรัสเซียทำงานร่วมกัน    ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่รัสเซียเริ่มเทขาย   จีนก็ทำเช่นนั้นด้วย

สตีฟ:   หน่วยข่าวกรองต่างๆไม่มีความสามารถที่จะปกป้องประเทศของเราในกรณีที่ว่านี้ ให้มากขึ้นไป เลยหรือ?

จิม :  เชื่อหรือไม่  ว่ามีหน่วยข่าวกรองอยู่ในกระทรวงการคลัง   และในความเป็นจริงพวกเขายังมี วอร์รูม อีกด้วย    นั่นสามารถบอกคุณได้ว่าสงครามการเงินเกิดขึ้นที่นี่และเป็นความจริง   ดังนั้นถ้าพวกรัสเซียเทออกมาอีก  พวกจีนก็คงทำเช่นเดียวกัน    ใครจะเป็นคนซื้อหนี้เหล่านี้?   เอาละผู้ซื้อลึกลับกำลังจะปรากฏตัว


เมื่อเร็วๆนี้  เบลเยี่ยมเป็นผู้ซื้อจำนวนมหาศาล   ในหลักทรัพย์ของรัฐบาลสหรัฐฯเป็นจำนวนนับแสนล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

สตีฟ:  เช่นนั้..เบลเยียมก็เริ่มเก็บพันธบัตร   โดยร่วมมือกันในเวลาที่รัสเซียและจีนเริ่มเทขายพันธบัตรของพวกเขาละสิ

จิม:  ไม่ใช่พวกเบลเยียมหรอก    จำนวนขนาดนี้มันมากเกินบัญชีเดินสะพัดของเบลเยี่ยม

เบลเยียมเป็นแค่แนวร่วมเท่านั้น  คุณรู้ไหม   หรือว่าจะเป็นธนาคารกลางเสียเอง ? นั่นเป็นจุดที่น่าสนใจละ      บางทีโดยทางเปิดแล้วไม่รู้ว่าผู้ซื้อลึกลับคนนั้นคือใคร    แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติรู้      ตอนนี้กระทรวงการคลังปฏิบัติการผ่านวอร์รูมนี้   และธนาคารกลาง..ผู้ซื้อลึกลับในเบลเยียม      ขณะนี้ พวกเขาได้ให้การสนับสนุนตลาดพันธบัตรอยู่

ตอนนี้ยังไม่เกิดหายนะ   แต่พวกเขายังไม่มีความสามารถที่จะปล่อยเผือกร้อนๆออกจากมือ  มันมีความจำกัด    เรื่องนี้น่ากลัวมากถ้าธนาคารกลางปล่อยออกไป   เราได้พูดกันมาแล้วเรื่องที่ธนาคารกลางมี หนี้ต่อทรัพย์สินในอัตรา 77:1

ถึงตอนนี้ธนาคารกลางมีขีดจำกัดว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง   เดี่ยวนี้ถ้าเกิดต่างชาติยังเทขายพันธบัตรออกมาอีกและไม่มีผู้ซื้อ    อะไรเป็นเรื่องที่คาด? ... อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้น.... ตลาดหลักทรัพย์และตลาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจะล่ม      อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหมายความว่าหนี้ก็จะสูงขึ้นด้วย  อัตราดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้นอีก

เพื่อให้คุณเริ่มต้นที่เกลียวแห่งความตาย และไม่มีทางออก
สตีฟ:   การโจมตีตลาดพันธบัตรของเราเป็นเรื่องที่ชัดเจน      เป็นจุดล่อแหลมที่เกิดประกายไฟของวิกฤตเศรษฐกิจที่คุณพยากรณ์ในหนังสือของคุณไว้    เรามาพูดถึงจุดที่ล่อแหลมอื่นๆอีก

จิม :  สิ่งที่ผมเรียกว่าจุดล่อแหลมจุดที่สองนั้นเกี่ยวกับเปโตรดอลลาร์

สตีฟ: คุณพอจะอธิบายได้ไหมว่าเปโตรดอลลาร์คืออะไร ?
จิม :  มันคือระบบของการส่งออกน้ำมันที่ใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นราคาพื้นฐาน  น้ำมันไม่จำเป็นต้องมีราคาเป็นดอลลาร์  อาจจะเป็นยูโร  เงินเยน  สวิสฟรังค์  หรือทองคำ และอาจจะมีราคาเป็นสิ่งอื่นๆอีกมากมาย    แต่ในความเป็นจริงตลาดน้ำมันทั่วโลกซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์

จริงๆแล้วผมมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเกิดของระบบเปโตรดอลลาร์
เมื่อปี 1974 ผมไปทำเนียบขาวครั้งแรกด้วยเรื่องธุรกิจอย่างเป็นทางการ   พวกเราเป็นกลุ่มเล็กๆแค่ 5 คน    และได้พบกับคุณ เฮลมุท ซอนเนนเฟลท์  ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งรองที่ปรึกษาความปลอดภัยแห่งชาติ  เป็นเบอร์สองรองจาด เฮนรี่ คิสซิงเกอร์     ตอนนั้นเมื่อต้นทศวรรษที่ 70 คุณคงจำกันได้ว่าราคาน้ำมัน บาร์เรลละแค่ 2 เหรียญ   พอปลายทศวรรษราคาพุ่งขึ้นไปที่ 12 เหรียญ

นี่คือการตื่นตระหนกเรื่องน้ำมัน  (เข้าคิวเติมน้ำมัน)


ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด  อัตราเงินเฟ้อเริ่มควบคุมไม่ได้นั่นเป็นเรื่องของเชื้อเพลิง    คุณก็รู้ว่า คนอเมริกัน ยุคนั้นจำมันได้เป็นอย่างดี

เราอยู่ในทำเนียบขาวพูดกันถึงเรื่องนี้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี   ภาพการณ์ข้าง หน้า (scenarios) ภาพหนึ่งที่พวกเราถกกันก็คือ        กองทัพของเราควรจะเข้าไปจัดการซาอุดิอาระเบีย   เราต้องสร้างความมั่นคงให้แก่แหล่งน้ำมันและสร้างปริมณฑลทางการทหารไว้รอบๆ

เราจะสูบน้ำมันและตั้งราคาที่สหรัฐฯเห็นด้วย    ถึงตอนนี้เราจะให้เงินสนับสนุนแก่ซาอุดิอาระเบีย
เราไม่ต้องการขโมยเงินของพวกเขา     เราไม่ต้องการขโมยน้ำมันของพวกเขา   เราเพียงต้องการจะกำหนดราคาเท่านั้น  โชคดีที่แผนการนั้นไม่ได้นำออกมาใช้  
แต่มันแสดงให้คุณเห็นถึงสิ่งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในเวลานั้น     แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ

ทำไมเราถึงไม่บุกซาอุดิอาระเบีย?   เอาละ..คำตอบก็คือคิสซิงเกอร์และซาอุดิอาระเบียทำความตกลงกันได้    ซาอุดิ พูดว่า  “ตกลง  เราจะตั้งราคาน้ำมันเป็นดอลลาร์  เพื่อประกันบทบาทของดอลลาร์ให้เป็นเงินตราสำรองของโลก”

แต่ต้องมีค่าต่างตอบแทน   โดยเราตกลงจะเป็นหลักประกันต่อความต่อเนื่องของราชวงศ์ซาอุดและบรร ดาพระญาติวงศ์ของซาอุดิอารเบีย       โดยการขยายหน่วยความปลอดภัยแห่งชาติของซาอุดิอาระเบีย    เนื่องจากพวกเขามีกองทัพที่อ่อนแอมาตลอดและมีเพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยลงรอยกัน   มีศัตรูจำนวนมากในแถบภูมิภาคซึ่งเริ่มต้นที่อิหร่านและอื่นๆ

ดังนั้นคำถามน่าจะเป็นว่า  การตกลงกันเรื่องเปโตรดอลลาร์นั้นใช้การได้ไหม? และมันดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือเปล่า


เมื่อเริ่มใช้  เงินดอลลาร์ดังกระหึ่ม    มันเป็นยุคที่บางคนเรียกขานว่ายุคแห่งราชาดอลลาร์  เป็นช่วงเวลาที่ดอลลาร์มีค่าแข็งที่สุด   ที่เกิดขึ้นในยุคของ วอล์คเกอร์และเรแกน ในทศวรรษที่ 80  แต่มันมีความต่อ เนื่องเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นจวบจนถึงปี 2000


และต่อจากนั้นดอลลาร์ก็เริ่มอ่อนตัวลง

สตีฟ:  อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เปโตรดอลลาร์ลดค่าลง?

จิม :  เอาละ..เรามาดูตามความจริงกัน พิจารณาถึงเปโตรดอลลาร์   หรือเงินดอลลาร์ในฐานะที่เป็นเงินสำรองของโลก   เรามาพิจารณาถึงเก้าอี้ที่มีสามขา

ตราบเท่าที่ขาทั้งสามยังยืนอยู่ รากฐานยังมั่นคง และดอลลาร์ก็จะยังคงอยู่ในฐานะของเงินสำรองโลก

ขาใครขามัน  แต่ถ้าขาเหล่านั้นถูกดึงออกไปก็จะไม่มีขาเหล่านั้นอีก   ขาเหล่านั้นคืออะไร?  ขาแรกคือ ซาอุดิ อาระเบีย   ที่ซึ่งมีการตกลงเรื่องเปโตรดอลลาร์เริ่มที่นั่น

ซึ่งข้อตกลงของเราว่าเราจะรับประกันความมั่นคง ของซาอุดิอาระเบีย   แต่เมื่อไม่นานมานี้...กลับไปเมื่อเดือนธันวาคม 2013

ประธานาธิบดีโอบามาแทงข้างหลัง ชาวซาอุดิ โดยยอมรับว่าอิหร่านเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในภูมิ ภาคนี้

คุณรู้หรือไม่ว่าประธานาธิบดีได้ดึงเอาอำนาจของชาวอเมริกันออกมาจากที่ต่างๆในโลก   ในมุมมองของเขาที่ว่า   เราควรปล่อยให้พวกเขาดูแลกันเอง   ทุกๆแห่งทั่วโลกจะต้องมีการจับตามอง

ประธานาธิบดีเชื่อว่าอิหร่านกำลังจะกลายเป็นผู้ดูแลตะวันออกกลาง      พวกเขากำลังจะเป็นพี่เบิ้มของภูมิภาค     แล้วจะทิ้งซาอุดิอาระเบียไว้ตรงไหน?  ปล่อยให้โดดเดี่ยวอย่างนั้นหรือ     ตอนนี้ซาอุดิ อาระเบียพูดว่า  “ช้าก่อน...คุณได้บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติเรา   คุณทรยศเราในข้อตกลงเรื่องเปโตรดอลลาร์   ทำไมเราต้องแย่ล่ะ?     เราอาจจะเริ่มตั้งราคาน้ำมันเป็น ทอง หรือยูโร  หรืออาจจะเป็นเงินหยวนของจีนก็ได้

ขาแรก...ของเก้าอี้ถูกลากออกไปแล้ว  ซาอุดิ กำลังถอนตัวออกจากเปโตรดอลลาร์    เพราะเราไม่สามารถให้หลักประกันความปลอดภัยแก่พวกเขาได้   เรากำลังแสดงความสนิทสนมกับอิหร่านอยู่

ขาที่สองคือรัสเซีย    ตอนนี้รัสเซียไม่ได้เป็นสมาชิกของโอเปค(OPEC/ Organization of Petroleum Exporting Country )  แต่ก็เป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก  เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่   และแน่นอนใหญ่กว่าซาอุดิ อาระเบีย

แม้จะไม่ใช่สมาชิกของโอเปค   แต่ก็ชื้อขายน้ำมันด้วยเงินดอลลาร์  ดังนั้นพวกเขาได้ลงนามข้อตกลงการใช้ เปโตรดอลลาร์ ในวิถีทางของตนเอง  ตอนนี้เรากำลังเข้าไปพัวพันกับสงครามการเงิน   รัสเซียพร้อมแล้วที่จะตอบโต้ และนี่ก็ไม่ใช่ข่าวที่เป็นความลับอะไร   มีการพูดกันอย่างเปิดเผย

อังไดร  คอสติน ประธารคณะกรรมการธนาคาร VTB  ที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียกล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า  “ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลกที่จะใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นทุนสำรอง   โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว”


สมาชิกรัฐสภารัสเซียคนหนึ่งพูดว่า  “ดอลลาร์คือสิ่งชั่วร้าย เราจะขายแก๊สให้แก่ลูกค้าเป็นเงินรูเบิลและหลังจากนั้นเราจะแลก รูเบิลกับทองคำ  ถ้าไม่พอใจที่จะทำอย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาหนาวไปจนตาย ”


นั่นคือ  ขาที่หนึ่งและสองของม้านั่ง..ซาอุดิ อาระเบียและรัสเซียถูกดึงออกไปเรียบร้อยแล้ว  ส่วนขาที่สามได้แก่จีน  ซึ่งกำลังจะถูกลากออกไป

สตีฟ :   รัสเซียและจีนยังคงกำลังมีบทในการโค่นเปโตรดอลลาร์ ...เมื่อเร็วๆนี้ที่พวกเขาเซ็นสัญญาร่วมมือกันในด้านพลังงานมีมูลค่าถึง สี่แสนล้านเหรียญ ก็ด้วยวัตถุประสงค์นี้หรือ?

จิม :  แน่นอน...รัสเซียเป็นชาติที่ส่งพลังงานออกมากที่สุดของโลก   จีนเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกย่อมมีความต้องการพลังงานสูง     นี่คือพันธมิตรโดยธรรมชาติของสองประเทศ  ดอล ลาร์กำลังโดดเดี่ยว    อีกทั้งจีนยังทำสัญญาซื้อขายโดยใช้เงินหยวนกับประเทศคู่ค้าไปทุกที่ในโลก
พวกเขากำลังทำกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง     ถ้าปริมาณการค้าขายมีจำนวนเงินมากพอ  มันจะกลายไปเป็นเงินทุนสำรอง      สิ่งเหล่านี้คือฟางเส้นสุดท้ายที่ล่องลอยไปในอากาศซึ่งจะนำไปสู่การพังทลายของดอลลาร์ในฐานะที่เป็นสกุลเงินทุนสำรอง

สตีฟ : จิม..ในหนังสือของคุณ  คุณสำรวจว่ามีชาติที่บัดนี้ใช้ทองคำเป็นอาวุธทางการเงิน    มันเป็นหนึ่งในจุดล่อแหลมที่อันตรายมากสุดหรือไม่?

จิม :  แน่นอนที่สุดมันเป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่อันตรายมากและ  นั่นแหละ..ทำไมคนส่วนมากจึงมองมาที่ดอลลาร์และกล่าวว่า ดูสิ...ดูคุณจะไม่ชอบดอลลาร์..คุณอาจจะกังวลเกี่ยวกับดอลลาร์   แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน   แต่มีที่หนึ่งที่ยังไปได้  ทองคำไงละ...คุณไม่ต้องซื้อพันธบัตร แต่คุณสามารถซื้อทองได้


และประเทศอื่นๆต่างก็กำลังทำเช่นนั้นจริงๆ

ดังนั้นการสำรองทองคำของโลกจึงเกิดความไม่สมดุลขึ้นโดยพื้นฐาน

นี่คือเรื่องหนึ่งที่วงการข่าวกรองกำลังจับตาอยู่อย่างใกล้ชิด  และจีนก็เป็นอันดับหนึ่งหนึ่งในกรณีของเรา

นี่ถึงว่าทำไมจีนจึงไล่เก็บทองคำมากกว่า 3,000 ตันในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา    แต่พวกเขาไม่พูดความจริง  และกล่าวเป็นทางการว่ามีเพียง 1,054 ตันเท่านั้น


เหตุผลก็คือ  จีนใช้สินทรัพย์ทางการทหารและหน่วยงานสืบราชการลับของตนเก็บทองคำเหล่านี้อย่างลับๆ   เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ไปพบกับเจ้าหน้าที่อาวุโสท่านหนึ่งของบริษัทโลจิสติกทางความมั่นคงระดับโลกแห่งหนึ่ง

โลจิสติกทางความมั่นคงหมายถึง กลุ่มคนที่ปฏิบัติงานลับ และใช้รถหุ้มเกราะ  พวกเขาขนส่งโลหะธาตุ   ไม่ใช่ธนาคารกลาง  ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาล  มันคือบริษัท Brinks  และ  G4S  และ ViaMat.  บริษัทพวกนี้ล้วนมีบทบาทในขอบข่ายงานของเขา

หนึ่งในพนักงานของ บ.เหล่านี้บอกผมว่า  พวกเขาขนทองคำไปยังประเทศจีนไป นำไปยังตึกเล็กๆที่มั่นคงของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน   หรือจะพูดว่า   เขาอยู่ในรถหุ้มเกราะและมีบุคลากรที่ใช้ยานพาหนะหุ้มเกราะนำทองคำเข้าไปในประเทศ    ผมรับประกันได้ว่าไม่มีการแสดงหลักฐานอย่างเป็นทางการที่ท่าเรือฮ่องกงอย่างแน่นอน

ทำไมจีนจึงทำเช่นนี้?
คนส่วนมากจะคาดเดาเอาว่าพวกเขาเริ่มนำเอาทองคำมาหนุนค่าเงินของตน       เพื่อให้เงินหยวนมีทองคำหนุนอยู่ให้เป็นเงินตราสำรองของโลกอีกสกุลหนึ่ง      นั่นไม่ใช่อย่างเด็ดขาด  จีนไม่สามารถป้องกันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้

นั่นไม่ใช่สิ่งที่จีนกำลังทำอยู่    สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ก็คือป้องกันการล่มสลายของเงินดอลลาร์  จีนไม่สามารถป้องกันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้   พวกเขาทำได้ก็คือการเพิ่มจำนวนทองคำสำรอง

เรื่องนี้เป็นที่รู้กันภายในหน่วยสืบราชการลับอยู่แล้ว    ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ  อะไรจะเกิดขึ้นหากมีการเปิดเผยต่อสาธารณะ?

นี่คือจำนวนของทองคำสำรอง        ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าของซึ่งถูกประกาศออกมา


นี่คือปลายมีดที่จ่อหัวใจของดอลลาร์

สตีฟ : จิม  จุดล่อแหลมทั้งหมดนี้จีนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย  นี่ไม่ใช่ปฏิบัติการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจในการโจมตีอเมริกาหรือ?
จิม : ยังมีบางอย่างอยู่อีก   จุดล่อแหลมอื่นๆที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับระบบการเงินของโลก
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสหรัฐฯไม่ใช่ผู้ที่ทำให้ปิรามิดล้มลง แต่เป็นจีน?   มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีมาก

พวกเขามีระบบการธนาคารที่เข้มแข็งมาก   แต่เพิ่งจะเริ่มต้น   ยังมีบางอย่างที่เรียกว่าระบบธนาคารเงาซึ่งปัจจุบันนี้มีมูลค่าทางอุตสาหกรรม  7,500,000,000,000 ล้านล้านเหรียญ  เพิ่มขึ้น 4,067% ตั้งแต่ปี 2005


สตีฟ : ธนาคารเงาเพิ่งจะปรากฏเป็นข่าวในระยะนี้    คุณจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?

จิม : ถ้าคุณฝากเงินกับธนาคารในจีน   ก็เหมือนกับในสหรัฐฯมันไม่ได้ให้ผลตอบแทนอะไรแก่คุณเลย   เท่ากับศูนย์   หรือ แค่ 0.25 เปอร์เซ็นต์...มันน้อยจนน่าสมเพช    แต่พวกเขาจะเสนอการลงทุนที่จ่ายดอกเบี้ย 5 6 ถึง  7 เปอร์เซ็นต์
พวกเขาเป็นอะไรไป?  จริงๆแล้วพวกเขานำเงินไปซื้อสิทธิการจำนองทรัพย์สินที่มีราคาถูก   ทรัพย์สินที่เก็งกำไร  และทรัพย์สินที่เกิดจากภาวะฟองสบู่และที่กำลังจะขาดอายุ

การล้มละลายในสหรัฐฯ ก่อนปี 2008   สิ่งก่อสร้างใหม่ๆโตเป็น 16 % ของ จีดีพี   16% ก็นับว่าค่อน ข้างจะสูงและเปราะบางมากแล้ว     ทีนี้ เรามาดูที่จีนกันบ้าง


ในแต่ละปีของสามปีหลัง    การก่อสร้างโตถึง 50% ต่อการเพิ่มขึ้นของจีดีพี  พวกเขาก่อสร้างโครงการช้างเผือก   ก่อสร้างโครงการอนุสรณ์สถานต่างๆ   ก่อสร้างเมืองร้าง   ผมเคยอยู่ที่จีน   รู้จักกับเจ้าหน้า ที่พรรคคอมมิวนิสต์และเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด       พวกเขาพยายามชักจูงผมให้ทำธุรกิจบางอย่างที่นั่น

ผมไปยังที่แห่งหนึ่งใกล้นานกิง     พวกเขาไม่ได้สร้างตึกเจ็ดหลังหากแต่สร้างเมืองเจ็ดเมือง   ทุกเมือง เต็มไปด้วยกลุ่มตึกระฟ้า    โรงแรมหรู    สนามกีฬา   บ้านเรือน   ที่อยู่อาศัยพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน   ห้างสรรพสินค้า    รถใต้ดิน    ถนนไฮเวย์   และสนามบินที่รองรับเมืองทั้ง 7 แห่งนี้   สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เกิดขึ้นเท่าที่พอมองเห็นด้วยสายตา   แต่มันล้วนว่างเปล่า...ทั้งหมด    นี่คือประเด็น

ก่อนที่จะล้มละลาย  ในสหรัฐฯจะใช้รายได้จากการทำงานประมาณ 4 ปี 3 เดือน  ก็สามารถซื้อบ้านแบบทั่วไปได้หนึ่งหลัง  ที่จีนต้องใช้รายได้ถึง 18 ปี


ถ้าพวกเขาสร้างอพาร์ทเม้นท์  สหกรณ์ และคอนโด  ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของได้    คุณก็รู้ว่าราคาของมันกำลังก้าวไปสู่หายนะ

เจ้าหน้าที่ธนาคารระดับสูงในจีนพูดว่า “นี่มันโครงการแชร์ลูกโซ่ (Ponzi scheme)ชัดๆ”  นั่นเขาเป็นคนพูดนะ  ไม่ใช่ผม  ซึ่งผมก็เห็นด้วย


พวกเราทั้งหลายรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นกับแชร์ลูกโซ่  ในที่สุดเมื่อคุณหลุดออกมาจากไอ้ตัวดูดได้มันก็จะพังทลาย
เมื่อคุณพังไปแล้ว       เป็นไปได้ที่คุณจะวิ่งไปธนาคาร  นายธนาคารจะทำได้ก็แค่แสดงความเสียใจ    พร้อมกับกล่าวว่า...เราไม่อาจจ่ายให้คุณได้..มันไม่ใช่ปัญหาของเรา  เอาละ..มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย
มันหมายถึงอะไร   เมื่อเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกต้องหยุดชะงักลง?    มันจะกลายเป็นหายนะภัยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก      มันจะฉุดระดับราคาหุ้นที่ประเมินกันไว้สูงลิบให้ตกลง  มา    ซึ่งเราจะได้เห็นในตลาดหุ้นของสหรัฐฯ   และนี่คือการเริ่มต้นของหายนะภัยทางด้านเศรษฐกิจของทั้งโลก

สตีฟ :  จิม  ผมอยากจะให้คุณพูดถึงจุดล่อแหลมอีกจุดหนึ่ง     มันน่าจะมีการกำหนดแผนบางอย่างไว้ ล่วงหน้า     ซึ่งคุณเชื่อว่ามีอยู่ภายใน IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ)  และมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ.....  ที่จะมีบางสิ่งมาแทนเงินดอลลาร์ในการเป็นเงินตราสำรองของโลก

จิม :  มันไม่ใช่แค่ความเชื่อของผมเท่านั้น   นี่มันเอกสารจริง   มันเป็นแผนการสิบปีที่จะไม่ใช้ดอลลาร์ มาเป็นเงินตราสำรองของโลก   ไอ เอ็ม เอฟ ได้ออกเอกสารมาในปีนี้  ชื่อว่า “ ดอลลาร์  ครองอำนาจสูงสุด ด้วยการยกเลิก ”   และนี่ผมคัดลอกข้อความมาโดยตรงนะ
 
“การใช้นโยบายเชิงรุกทางการเงินที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของธนาคารกลางของสหรัฐฯ ได้เพิ่มอุปทานให้แก่ดอลลาร์มากขึ้น และได้สร้างรอยร้าวให้แก่ระบบการเงิน   สถานะของเงินดอลลาร์จะตกอยู่ในอันตราย ”


เงินทุนสำรองไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าจำนวนเงินออมของประเทศซึ่งได้แก่เงินที่เก็บออมไว้   แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า         เมื่อคุณมีเงิน..คุณก็มีการตัดสินใจที่จะทำอะไรกับมัน...คุณอาจจะซุกมันไว้ใต้ที่นอนก็ได้ เหมือนที่พูดกันว่า     คนส่วนมากคิดว่าเงินดอลลาร์ดีกว่าอย่างอื่น     เพราะว่าไม่มีทางเลือกใดจะดีเท่า   นั่นไม่จริง    เงินดอลลาร์กำลังอ่อนตัวลงอย่างแรง   เป็นร้อยละของสกุลเงินสำรองทั้งหลายของทั้งโลก


ลองจินตนาการ ต่อไป  ถ้ายังเป็นอย่างนั้น   เงินยูโรจะแข็งขึ้น  เงินฟรังสวิสก็แข็งขึ้น  เงินสกุลอื่นๆก็จะแข็งขึ้น  นั่นเป็นผลอย่างหนึ่ง       แต่ยังมีผลอื่นๆอีกที่บางทีอาจจะมาเร็วขึ้น นั่นคือ..เรามีความตื่นตระ หนกกับการเงินของโลก         ถ้าธนาคารกลางทำให้เหลวทั้งโลกอีกครั้ง   เราจะเอาเงินมาจากไหนกันอีก?    มันคงไม่อาจได้มาจากธนาคารกลางที่มีอัตราส่วนหนี้ต่อเงินทุนที่ 77 ต่อ 1


ยังมีบัญชีงบดุลที่ดีหลงเหลืออยู่คือของ  IMF    ไม่น่าเชื่อว่าอัตราส่วนหนี้ต่อเงินทุนของ IMF
จะอยู่ที่ 3  ต่อ1

เมื่อวิกฤติครั้งหน้ามาถึง...มันมีความเป็นไปได้ว่าจะใหญ่กว่าวิกฤติของธนาคารกลาง     IMF จะเป็นสภาพคล่องเพียงแห่งเดียวของโลก

ลองมาพิจารณาทางนี้ดู     ธนาคารกลางมีแท่นพิมพ์..สามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาได้  ธนาคารกลางของยุโรปก็มีโรงพิมพ์ก็สามารถพิมพ์เงินยูโรออกมาได้    ส่วน IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ  ก็จะพิมพ์เงินออกมาเช่นกัน       พวกเขายังสามารถพิมพ์สิ่งที่เรียกกันว่า สิทธิพิเศษในการถอนเงิน (Special Drawing Right / SDR) ออกมาในระยะสั้นได้อีก      SDR นี้สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นสกุลเงินสำรองใหม่ได้

เหตุผลที่พวกเขาเรียกว่า สิทธิพิเศษในการถอนเงินนี้เพราะว่าถ้าเรียกว่า “เงินโลก” แล้ว  ฟังดูมันน่าตกใจเล็กน้อย      ซึ่งจริงๆแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ  นี่คือประเด็น

นี่อาจจะเป็นแผนการสิบปีก็ได้    เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงสิบปีหรอก     หายนะจะเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นอีก    พวกเขากำลังปัดฝุ่นโครงการอยู่ ...ตัดบางเรื่องออกและทำให้ SDR ด้อยค่าลงไป  แล้วก็พิมพ์เงินออกมาอีกนับแสนล้านเหรียญเพื่อค้ำจุนระบบ

ตอนนี้...ถ้าธนาคารกลางให้ความช่วยเหลือแก่หนี้ภาคเอกชน เมื่อปี 2008... และ IMF ก็ให้ความช่วย เหลือแก่ธนาคารกลางจากความหวั่นวิตกทางการเงินในครั้งต่อไป

ใครบริหาร IMF ?  ใครคือผู้รับผิดชอบที่แท้จริง?   คงเป็นกลุ่มคนดีเช่นพวกกษัตริย์   พวกเผด็จการ พวกคอมมิวนิสต์  ที่ไม่ได้รับเลือกมา ไม่มีความรับผิดชอบ

และนี่คือจุดล่อแหลมอันต่อไป          ที่จริง IMF ได้เข้าควบคุมระบบการเงินของโลกและกำลังจะกลายไปเป็นธนาคารกลางของโลกไปแล้ว     ได้พิมพ์เงินออกมาที่เรียกว่า  SDR

สตีฟ : จิม.. จุดล่อแหลมเหล่านี้…. การโจมตีตลาดพันธบัตรและเปโตรดอลลาร์ของเรา..   การเก็บทองของจีนอย่างลับๆ...  ความล้มเหลวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของจีน...     ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้เตือนไว้ในงานเขียนของคุณ  เกี่ยวกับเงินดอลลาร์ของเรา...ขยายไปถึง  IMF...

สิ่งที่คุณได้เปิดเผยไว้ในหนังสือ  เป็นเพียงแค่สะกิดอย่างผิวเผินเท่านั้น     อย่างไรก็ตาม..เรื่องสำคัญๆ ซึ่งผมได้จากหนังสือของคุณคือการละเลยสิ่งที่เป็นจุดล่อแหลมที่จะปลดปล่อย    25 ปีแห่งภาวะเศรษฐ กิจตกต่ำ    ผู้คนต้องการทำความเข้าใจถึงการมาของมัน  และมาอย่างรวดเร็ว

จิม :  สตีฟ  นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน   มันมีภาระกิจในหนังสือเล่มนี้    ความเร่งด่วน  และความสำคัญของมัน  ที่เรากำลังจะพูดถึง

ความตกต่ำอย่างยาวนาน(ประกอบด้วย)
ภาวะเงินฝืดที่รุนแรง
การว่างงานที่รุนแรง
การล่มสลายของธนาคาร
ภาพการณ์ล่วงหน้าของตลาดหุ้นที่ตกถึง70%
เหตุการณ์เหล่านี้จะเริ่มเกิดในอีกหกเดือนข้างหน้า

ลองมามองกันแบบนี้     ตอนนี้ประชาชนชาวอเมริกันกำลังยืนอยู่ที่ตีนภูเขาสูง...ภูเขาหิมาลัย   ภูเขาคิริมานจาโร   และเมื่อระยะครึ่งหนึ่งของความสูงของมัน เกิดหิมะถล่มขนาดใหญ่ดิ่งตรงมายังเรา    ลองพิจารณาถึงเกร็ดหิมะแต่ละเกร็ด...นั่นเป็นจุดล่อแหลมจุดหนึ่งที่กำลังเป็นตัวเร่งความเร็วของความโกลาหลนี้   เราไม่ควรพิจารณาในจุดนี้    เรายอมรับความรุนแรงของสถานการณ์  และควรจะหลบไปยังที่ปลอดภัย    ดังนั้น  สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือช่วยให้ประชาชน ยึดถือในสิ่งที่เขามี    ซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะทำในส่วนที่ยากที่สุด

สตีฟ : จิม.อย่างที่คุณทราบ  รายการ มันนี่ มอร์นิ่ง  เชื่อมั่นในหนังสือของคุณที่ได้เตือนภัยต่อสาธารณะ   เราอยากจะส่งสำเนาเรื่อง   ความตายของเงิน:  หายนะภัยของระบบการเงินระหว่างประเทศกำลัง ใกล้เข้ามา  ให้แก่ทุกๆคนที่กำลังเฝ้าชมการสัมภาษณ์ครั้งนี้   หนังสือเล่มนี้ราคา 28 เหรียญ  ผมขอบอกก่อนว่า เวอร์ชั่นที่เราส่งให้นั้น  มีเนื้อหาแตกต่างจากเล่นที่ขายอยู่ตามร้านทั่วไปนะครับ

จิม : (เสริม) เหตุผลค่อนข้างจะธรรมดา  สิ่งที่เราพูดกันวันนี้ ไม่ชัดแจ้งเท่ากับการอ่าน   หนังสือได้ทำการ สำรวจทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง   ไม่รวมส่วนแรก   มันเป็นสิ่งที่เราเรียกร้องให้รัฐบาล– และให้ทำความชัดเจนต่อสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า - "วันหลังจากแผน"  เหล่านี้จะอธิบายถึงสิ่งที่อเมริกาและรัฐบาลของเราจะเป็นเช่นไรเมื่อเศรษฐกิจของเราพังทลายลงมา

ตอนนี้ผมมีบทร่างซึ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ขณะนี้ที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ชื่อว่า “วันหลังจากแผนการณ์ ที่ไม่เป็นความลับ ” ซึ่งผมไม่ได้เพิ่มเข้าไปในเล่มที่พิมพ์ครั้งแรก   เนื่องจากยังเป็นที่โต้เถียงกันอย่างกว้างขวาง
ภาพที่ผมวาดก็ไม่สวย   แต่ผมจะรวมบทนี้ไว้ที่นี่  เพราะท่านผู้ที่กำลังชมการสัมภาษณ์ต้องการที่จะเห็นเนื้อข่าวที่เป็นจริงและภาพการณ์ข้างหน้าด้วย(scenarios)

สตีฟ  :  คุณเลยทำเวอร์ชั่นใหม่ของหนังสือไปด้วย     คุณได้ออกวีดีโอ หกตอน ที่ชื่อว่า “ความตายของเงินอย่างละเอียดแบบดิจิตอล”
 จิม  :
นี่ไง...ผมใส่ไปในนั้นด้วย    มันเป็นไปไม่ได้นะไม่ว่าผมหรือใครก็ตามที่ร่วมงานกับผม  ที่จะบอกอย่างชัดเจนถึงวันเวลาที่หายนะภัยจะเริ่มขึ้น     แต่เรารู้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังมา และมาในเร็วๆนี้ด้วย
มันมีสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนว่ามันปรากฏขึ้นในเศรษฐกิจของเรา..ในตลาดของเรา  เรื่องนี้ชัดเจน

ดังนั้น...ข้ามเรื่องวีดีโอชุดนี้ไปก่อน   เราผ่านสัญญาณสำคัญ 7 ประการกันมาแล้ว   ผมให้ดูสัญญาณนั้นอย่างชัดเจน   จากแผนภูมิต่างๆ

คำแถลงต่างๆที่ท่านได้ฟังจากรัฐบาลต่างๆในโลกและกองทุนสำรองของธนาคารกลาง
ผมตรวจสอบอย่างละเอียด   ไปถึงจุดล่อแหลมที่สามารถจุดชนวนหายนะในทางเศรษฐกิจของเรา
ผมค้นพบความลับของฟองสบู่(ทางเศรษฐกิจ)ที่ไม่มีใครพูดถึง
ผมแบ่งปันงานวิจัยจากหน่วยข่าวกรอง   เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของรัสเซีย  จีน  และอิหร่านในการต่อต้านอเมริกา

เรื่องนี้มีความสำคัญมาก    วีดีโอชุดนี้ผมช่วยผู้คนวิเคราะห์พอร์ทโฟลิโอ ในการลงทุนของพวกเขา       ชี้แจงพวกเขาว่าจะจัดแจงแบ่งสรรอย่างไรให้สอดคล้องกับภาพการณ์ต่างๆ   เพราะว่ามันอยู่ในสภาวะจุดเดือด...มันระเหยได้ง่าย(สภาพที่ผันแปรได้ง่าย  )

 เอ่าละ..ผมจะทบทวนว่าคุณควรจะมีพอร์ทโฟลิโอในเซ็คเตอร์ใดบ้างในตลาดหุ้น..ตลาดโลหะมีค่า   และจังหวะที่จะทำรายได้...
ที่ไหนบ้างในต่างประเทศที่จะลงทุน   มันเป็นการทดสอบกันทีละจุดของแต่ละพื้นที่เหล่านี้
สตีฟ : พวกเราต้องการสำเนาหนังสือของคุณโดยด่วน   บทที่ยังไม่ได้พิมพ์น่ะ  และกลวิธีหกอย่างในดิจิตอลอย่างละเอียดสำหรับผู้ที่ชมอยู่ทุกๆท่าน  มันเป็นส่วนหนึ่งในการริเริ่มที่โดดเด่นมาก  คุณเรียกว่าอะไร
คุณช่วยนำเสนอภารกิจที่เรียกว่า “โครงการพยากรณ์” ให้แก่ CIA   เป้าหมายคือการจำแนกสัญญาณต่างๆในตลาดเงิน และเศรษฐกิจ ที่คุกคามประเทศของเรา

ด้วยการ เริ่มดำเนินโครงการพยากรณ์ขึ้นใหม่   คุณกำลังประยุกต์หลักการที่ว่านั้นเพื่อช่วยผู้คนทุกๆวันสร้างกำแพงที่แข็งแกร่งมั่นคงขึ้นคุ้มกันความมั่งคั่งของพวกเขา   ให้เรามาพูดถึงสิ่งที่คุณได้สร้างสรรค์ขึ้นมา

จิม :  สตีฟ..ผมตระหนักเป็นอ่างมากว่าสิ่งที่ผมเปิดเผยในวันนี้จะเกิดความตื่นตระหนกต่อระบบ     แต่อเมริกากำลังเผชิญกับช่วงยุคที่มืดมนที่สุด   ที่ไม่มีทางหลีกพ้นไปได้  และผู้คนจะมีความจำเป็นที่จะใช้มาตรการบางอย่างมาปกป้องตนเอง    บางทีอาจจะนอกเหนือไปจากความสะดวกสบายในชีวิตปกติ  ดังนั้น..ผมจึงเข้ามาร่วมในที่นี้    หนังสือของผมในบทที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์   และรายละเอียดในดิจิตอลจะให้ภาพที่กว้างขึ้น     ซึ่งผู้คนจำเป็นต้องรู้เป้าหมายที่แท้จริงในการลงทุนและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง   พวกเขาจำเป็นต้องคิดใหม่ว่าจะดูแลการเงินของพวกเขาได้อย่างไร

เพื่อจะช่วยพวกเขา    ผมได้เตรียมข่าวกรองชุดหนึ่งมาสรุปให้ฟัง   แรกสุดคือสิ่งที่เรียกว่า ”  โครงการ พยากรณ์ความมั่งคั่ง พิมพ์เขียวของกระทรวงกลาโหม”    คำชี่นำสี่ประการ   และ แต่ละคำชี้นำผมได้เจาะจงเป้าหมายในการลงทุน

สตีฟ :  ลองมาตรวจสอบกัน ในแต่ละเรื่อง

จิม :  ข้อเสนอแนะแนะข้อที่ 1

หาที่หลบภัยจากการตกต่ำของดอลลาร์

การลดค่าของดอลลาร์ครั้งต่อไป...ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก   ดอลลาร์เกือบจะพบกับหายนะโดยสิ้นเชิงเมื่อปลายทศวรรษที่ 1970    ระหว่างปี 1977 และ 1981 ในระยะ 5 ปี อัตราเงินเฟ้อสะสมเท่ากัน 50%.
ถ้าคุณมีประกันภัย สิทธิที่จะได้รับประโยชน์  ไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นรายได้ที่คงตัว   เงินเกษียณ เงินออม  ของคุณจะลดค่าลงไปครึ่งหนึ่งในช่วงสั้นๆ

ขณะที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ น่าจะทรุดลงไปถึง70 หรือ 80% ทีอาจมากกว่านี้     ทางที่ดีที่สุดการถือเงินในขณะที่ดอลลาร์ตก    และนี่ที่ผมมุ่งไปยังข้อสรุป...คือไปลงทุนเป็นเงินยูโร    สิ่งที่คนทั่วไปควรเข้าใจ   คือเงินยูโรนั้นไม่ใช่โครงการทางเศรษฐกิจ   แต่เป็นโครงการทางการเมือง    และการเมืองในที่นั้น ถูกชี้นำจากเยอรมัน   เงินยูโรจึงมีค่าเท่ากันทุกประเทศ(ที่ใช้ยูโร)   เรามีแผนภูมิจริงที่แสดงให้เห็นถึงการสูงค่าของเงินยูโรนั้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์


ดังนั้นการพูดคุยถึงการอ่อนค่าของเงินยูโรนั้นเป็นแค่จินตนาการ   ในความเป็นจริง ยูโรนั้นแข็งค่าขึ้น
เอาละ  ทุกท่านรู้ว่าสหรัฐอเมริกา  มีทองคำอยู่ 8,000 ตัน   แต่ยุโรปมีทองคำถึง10,000 ตัน


ยุโรปเป็นผู้ที่ถือครองทองคำใหญ่ที่สุดในโลก      และพวกเขาใช้ทองคำจริงๆหนุนค่าเงินยูโร   ตอนนี้  พวกคุณจะได้ไม่ต้องไปเปิดบัญชีกับธนาคารยุโรปเพื่อลงทุนเงินยูโร    ในโครงการพยากรณ์ฯ    ผมได้ แนะนำกองทุนพิเศษที่มีค่าเป็นสองเท่าเมื่อดอลลลาร์ตกเทียบกับเงินยูโร


นี่คือวิธีเล่นแบบป้องกันที่แข็งแกร่งมาก เพราะคุณจะได้รับผลตอบแทนกลับมาเป็นสองเท่าทั้งจากการตกของเงินดอลลาร์และการแข็งค่าของเงินยูโร

สตีฟ:  เอาละ...เรามาพูดถึงการชี้แนะข้อที่สองต่อไป
จิม :    ข้อเสนอแนะข้อที่สอง
ให้วางแผนป้องกันไว้เสมอเมื่อคราวตลาดตกต่ำ

ตลาดหุ้นกำลังจะตกลงไป 70% ตอนนี้หมายความว่าคุณไม่ควรถือหุ้นไว้หรือ?     คนควรตัดสินใจด้วยตัวเอง     แต่มันก็มีทางที่จะใช้ตัวตลาดเองเป็นตัวข่ายของความปลอดภัย     ผมเสนอให้เรามุ่งเป้าไปที่กลุ่มหุ้นซึ่งเรามีประสบการณ์ในเรื่องที่เกิดความเสียหายที่รุนแรงที่สุด   ได้แก่กลุ่มการเงิน      บริษัททั่วไปจะถือหุ่นส่วนใหญ่เป็นตราสารอนุพันธ์     ซึ่งจะตกเร็วและแรงมากกว่าหุ้นชนิดอื่นทั้งหมด     ผมได้ตรวจสอบกองทุนพิเศษทีได้กล่าวมา ว่ามีน้ำหนักมากในกลุ่มการเงิน

มันมีค่าสูงขึ้น3% ของทุกๆ 1%  เมื่อหุ้นกลุ่มการเงินถดถอย     ดังนั้นเมื่อลดลงลง 25%นั่นหมายถึง จำนวน 75% กลับไปยังกองทุนนี้     และถ้ามันลดลงที่ 70% ทีนี้คุณจะได้เห็นผลตอบแทนที่ 210%
กองทุนนี้  คุณสามารถใช้ทุนจำนวนเล็กน้อยเสริมการป้องกันความเสียหายในกรณีที่ตลาดถึงจุดแตกหัก มันเป็นการประกัน(ความเสียหาย) ที่ดีเลิศ

สตีฟ : ทีนี้เรามาพูดถึงข้อชี้แนะลำดับที่สาม

จิม :  ข้อเสนอแนะข้อที่3
ลงทุนในสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
เมื่ออเมริกาประสบกับปัญหาสภาพการณ์ข้างหน้า(scenario)ที่เลวร้ายเช่นนี้   เราได้พยากรณ์ไว้ในหน่วยข่าวกรองไว้ว่า...ประชาชนต้องการอาหาร    พวกเขาไม่สามารถหยุดการใช้พลังงาน   พวกเขาไม่สามารถหยุดความต้องการสินค้าที่จำเป็นและบริการต่างๆ    นี่คือสิ่งที่ประชาชนแสวงหา

ดังนั้นในการบรรยาย...ผมเสนอให้ลงทุนในเรื่องน้ำ     เนื่องจากคนเราไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เมื่อขาดน้ำดังนั้นเราจึงได้เห็นการริเริ่มลงทุนในเรื่องน้ำ     ในส่วนนี้เริ่มเป็นกระแสแรงขึ้นเมื่อปี 2009 ที่เพิ่มขึ้นถึง 200%.


ผมมุ่งเป้าไปยังบริษัทที่ดำเนินกระบวนการก่อสร้างแนวท่อที่ยาว 47,000 ไมล์    ผ่าน 16 รัฐ และ 1500 ชุมชน   ตอนนี้มันเป็นเหมือนยักษ์กำลังหลับอยู่หลับ   กระบวนการเกียวกับน้ำนี้มีส่วยแบ่งมากขึ้นทุกๆปีมันสูงขึ้นถึง 55% ไปแล้ว  และ.. เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาซื่งเราไม่อาจขาดมันได้...นอกจากน้ำแล้วข้อสรุปยังโฟกัสมุ่งไปยังบริษัทที่เริ่มกิจการเกี่ยวกับเหตุการฉุกเฉินทางการแพทย์    เนื่องจากมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก

สตีฟ :  จิม..คุณยังเหลือคำชี้แนะอยู่อีกข้อหนึ่งที่จะสรุปประเด็น
จิม :  ใช่ครับ...อาวุธลับของ วอร์เรน บัฟเฟท

ข้อเสนอแนะข้อที่ 4
มุ่งเป้าไปที่บริษัทที่มีทรัพย์สินที่มั่นคงที่สุด

คุณก็ทราบดีว่า วอร์เรน  บัฟเฟท มีชื่อเสียงประหนึ่งคุณลุงผู้ใจดีที่มีวาจาสิทธิ์แห่ง โอมาฮา  และเป็นเพื่อนที่ดีของนักลงทุนในตลาดหุ้น   แต่เมื่ออยากจะเป็นเศรษฐี  อย่าไปสนในในสิ่งที่พวกเขาพูดแต่ให้สังเกตสนใจว่าพวกเขาทำอะไร   การเข้ามาถือสิทธิ์ล่าสุดของ วอร์เรน บัฟเฟท เมื่อเร็วๆนี้ เป็นที่ประ จักษ์     เมื่อสองสามปีก่อนเขาได้เข้าซื้อกิจการเดินรถไฟของบริษัท เบอร์ลิงตัน นอร์เทิร์น ซานตาเฟ  เขาซื้อทั้งหมดเป็นของตนเอง      เส้นทางการเดินรถไฟคืออะไร?ไม่ใช่อะไรอื่นแต่เป็นสินทรัพย์มั่นคง

ที่ดินสองฟากทางรถไฟตลอดสายนั้นมี ไร้ท ออฟ เวย์ส( right-of-ways /สิทธิ์ผ่านทาง)      สิทธิในการทำเหมืองแร่   คลังพัสดุ  สนาม   ลานไก  ระบบสัญญาณ  ทั้งหลายนี้ล้วนแต่เป็นทรัพย์สินถาวรทั้งสิ้น    กิจการเดินรถนี้มันทำเงินให้อย่างไร?    มันแปรทรัพย์สินถาวรเหล่านี้ให้เป็นไปในรูปของ ค่าระวาง ถ่านหิน  ข้าวสาลี ข้าวโพด  เหล็ก ปศุสัตว์ ฯลฯ

ดังนั้นทางรถไฟจึงเป็นสุดยอดของสินทรัพย์มั่นคง     อะไรต่อไปที่ วอร์เรน บัฟเฟท ได้ถือครองกรรม สิทธิ์อีก?   เขาซื้อแหล่งผลิตน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ  นี่เป็นสินทรัพย์มั่นคงอีกอย่างหนึ่ง   ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาสามารถขนส่งน้ำมันของเขาโดยรถไฟโดยไม่ต้องอาศัยท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนเลย    เมื่อคุณสามารถบรรทุกน้ำมันร้อยตู้โดยรถไฟ   นั่นหมายถึงการติดล้อให้แก่ท่อส่งน้ำมัน  

เขาเป็นผู้ที่ไม่ให้ราคาเงินกระดาษ   เก็บแต่สินทรัพย์มั่นคงไว้ในรูปของ ทางรถไฟ น้ำมัน และก๊าสธรรมชาติ     มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับ วอร์เรน บัฟเฟทและดีสำหรับคนอเมริกัน     นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในยามที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะงักงัน      ผมมีรายชื่อของ 6 บริษัทชั้นนำที่มีแผนเกี่ยวกับสินทรัพย์ถาวรอยู่ในรูปแบบของธุรกิจ

สตีฟ :   ข้อสรุปด้านข่าวกรองคุณอันที่สองได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า โครงการพยากรณ์ฯ เฝ้าดู หุ้น 30 ตัว ที่กำลังจะทรุดหนักลงไปในไม่ช้า  ช่วยบอกหน่อย

จิม :  โครงการฯ ต้นแบบสำหรับ CIA เราได้สร้างระบบแทรคกิ้ง   โดยติดตามหุ้นอยู่ 400 ตัว ดูเหมเหมือนว่าจะมีสัญญาณ ในการโจมตีอเมริกา  แต่เท่าที่ติดตามดูในปีนี้   เรามองเห็นการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางปริมาณของมัน    เพื่อระบุว่าบริษัทเหล่านี้กำลังอยู่ในถาวะอันตรายที่จะทรุดลง

ข้อสรุปด้านข่าวกรองได้เปิดเผยว่ามี 30 บริษัทที่อยู่ระดับต้นๆในบัญชีรายชื่อ   เอาละ  เมื้อท่านผู้ชมได้เห็นหุ้นเล่านี้  อาจจะมีอาการช๊อค    หุ้นพวกนี้ไม่ได้มีมูลค่าตลาดน้อย    ที่จะสามารถทำให้ตลาดเกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางได้    แต่นี่เป็น 30 ตัวที่มีการถือครองหุ้นอย่างกว้างขวางที่สุดในบัญชีของชาวอเมริกันผู้ปลดเกษียณ  และ 401ks*(*อันนี้ไม่รู้ว่าคืออะไร?)ของชาวอเมริกันทุกคน

ส่วนมากเป็นหุ้น blue chip (บลูชิป คือหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัยมากในการลงทุน ไทยก็เรียกทับศัพท์ว่าหุ้นบลูชิปเช่นกัน...ผู้แปล).  นั่นย่อมหมายถึงว่า  บางที..ท่านที่กำลังชมอยู่นี้อาจถืออยู่ หนึ่งตัว  สองตัว  หรือมากกว่านั้น   และมันกำลังมีความเสี่ยงในการถูกโจมตีทำลาย

ตอนนี้    ในบัญชีรายชื่อของหุ้นทั้ง 30 ตัว  ผมคัดออกมา 10 ตัว  กำลังอยู่ในฐานะเตือนภัยระดับสูงสุด(สีแดง) นี่หมายความว่าถ้าวันนี้คุณถือมันอยู่   คุณก็ไม่ควรถือมันไว้จนถึงพรุ่งนี้  เพราะมันไปไม่ได้อีก มันถึงจุดเสี่ยงที่จะล้มเหลวไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่สิ่งเลวร้ายกำลังจะปรากฏขึ้น

สตีฟ :   เอาละ  มาสรุปถึงข่าวกรองที่คุณสร้างขึ้นเรื่อง “โครงการพยากรณ์สินทรัพย์ถาวรและสาระสำ คัญทางการเงินในส่วนบุคคล”

จิม : ผมสนับสนุนประชาชน   ถ้าพวกเขายังไม่พร้อมและไม่มีความพร้อมที่จะทำเช่นนั้น  ที่จะเริ่มสำรวจ และเพิ่มสินทรัพย์ถาวรในพอร์ทโฟลิโอของตน     ข้อสรุปของหน่วยข่าวกรองนั้นครอบคลุมทั้งหมดรวม    ไปถึงฟาร์มเกษตร   วัตถุโบราณ   ศิลปะมีค่า   รวมถึงเงินตรา  และโลหะมีค่าทั้งหลาย

สตีฟ : ผมอยากจะโฟกัสไปที่โลหะมีค่าชนิดหนึ่งโดยเฉพาะทองคำ   ในหนังสือของคุณได้เปิดเผยว่าจีนประสบความสำเร็จในการจัดการกับราคาทองให้ลดลงอย่างไร       ในขณะที่เก็บทองคำสำรองไว้ในโกดัง    แต่คุณก็ยังมั่นใจและมีความหวังกับมันอีก  แม้ว่าคุณได้เขียนว่าค่อนข้างจะอันตรายที่ประชาชน จะลงทุนในเรื่องทองคำ  

จิม :  มันเป็นเรื่องของสมัยนิยมไปแล้ว   ในสองสามปีมานี้ในการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมทองคำ(ETFs. exchange-traded fund )  ทองคำเป็นตัวแทนแสดงราคาสินค้า   ตรรกโดยผิวเผินแล้วมันดูมีเหตุผล     คุณสามารถถือทองคำได้โดยไม่ต้องถือกรรมสิทธิ์ในด้านกายภาพของมันและไม่ต้องเก็บสะสมเองด้วย

คุณสามารถ..กระทั่ง..โดยทฤษฎีแล้ว  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็บอกคุณว่า  คุณสามารถรับเงินสดจากการขายหุ้นกองทุนรวม(ทองคำ)ของคุณได้ในอนาคตถ้าคุณต้องการ   นี่เป็นปัญหาหนึ่ง... ซึ่งมันไม่จริง   คนอเมริกันเดี๋ยวนี้ไม่มีความสามารถจะทำเช่นนั้นได้

นี่คือวิธีการคิดเกี่ยวกับตลาดทองคำ   ลองนึกถึงภาพปิรามิดที่กลับหัวกลับหาง จุดแหลมปลายยอดจะอยู่ด้านล่าง  ส่วนฐานที่ใหญ่จะพลิกกลับขึ้นไปอยู่ข้างบน     จุดรองรับของรูปทรงคือทองคำซึ่งเป็นฐานที่เล็กกระจิ๋วหริว    ส่วนด้านบนนั้นจะเป็นทองคำกระดาษ   พวกมันคืออะไรล่ะ?

การเช่าซื้อ
Unallocated gold forwards (อันนี้ไม่ทราบและไม่เข้าใจความหมายครับ..ผู้แปล)
ทองคำของอนาคต
สิทธิในการซื้อทองคำในอนาคต
กองทุนรวมทองคำ
ทั้งหมดนี้เรียกว่า ทองคำกระดาษ  สิ่งที่พวกเขาให้คุณก็คือสิทธิในสัญญาแบบมีพันธะผูกพัน   แต่ไม่มีหลักประกันใดๆที่ว่าคุณจะได้ถือตัวทองคำที่เป็นวัตถุ   เอาละ...ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับ  ปิรามิดที่นับวันยิ่งโตขึ้น   แต่ปริมาณของทองคำที่เป็นวัตถุและอุปาทานเทียมนั้นขาดหายไป

เมื่อทองคำเคลื่อนจากโกดังของ GLD (กองทุนซื้อขาย-แลกเปลี่ยนทองคำ)ไปยังโกดังของจีนที่เซียงไฮ้  อย่างที่มันเป็น  นั่นหมายความว่ามันเคลื่อนจากตะวันตกไปยังตะวันออกเป็นจำนวนมหึมา   เมื่อมันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้  มันก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอุปาทานเทียม อีกต่อไป    ทองคำจำนวนนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันอีกเลย   อย่างน้อยก็เป็นเวลาหลายๆปี

ดังนั้นอุปาทานรวมของทองคำอาจไม่เปลี่ยนแปลง    แต่อุปาทานเทียมจะลดลง นั่นหมายถึงว่าอิฐก้อนเล็กๆที่เป็นฐานของปิรามิด(ที่กลับหัว)นั้นมีแต่เล็กลง เล็กลง

หนึ่งในสองเรื่องจะเกิดขึ้น  ถ้าปิรามิดกระดาษไม่หดตัว  ทั้งหมดก็จะสั่นสะเทือนและล้มคว่ำลง

ถ้าคุณมีกองทุนรวมทองคำอยู่   คุณก็จะมีแค่ตัวหุ้น และก็จะมีแต่ตัวหุ้นไปตลอด   คุณจะไม่ไม่มีโอกาสได้ถือทองคำแท้ๆเลย   ดังนั้นบทสรุปของหน่วยข่าวกรองนี้       ผมบอกให้ท่านผู้ชมทำตัวอยู่ห่างๆจาก ETFs. (รายชื่อของกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำอเมริกัน) เลย     ผมพูดถึงเหรียญโลหะมีค่าที่พวกเขาต้องการไปแสวงหาโดยเร่งด่วน

สตีฟ :  ตอนนี้เรามาทดสอบว่าผู้ชมจะทำอย่างไรที่จะสร้างปราการป้องกันการเงินของพวกเขาจากช่วงเวลาที่อันตรายกำลังใกล้เข้ามานี้

จิม :  นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถ้าคุณจะปกป้องตัวเองด้วยการลงทุน  อย่า ใช้มาตรการเพียงอย่างเดียวมาจัดการเงินทุนส่วนตัวของคุณ   คุณจะได้สัมผัสผลอย่างเดียวกันและมันจะไม่เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งไม่อาจจะรับผิดชอบ   ธนาคารที่คุณเลือกใช้บริการเก็บเงินของคุณ    ขณะนี้ก็อยู่ในสถานะวิกฤติ  เพราะธนาคารเองก็ไม่สามารถเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ได้ไม่ว่าปีหน้าหรือปีต่อไป ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันยังลุกลามออกไป

ผมได้พูดถึงธนาคารที่ปลอดภัยที่สุดและเครดิต ยูเนียน  พวกนี้ไม่ล้มหรอกคุณควรจะมั่นใจได้ว่าคุณมีเงินอยู่ในนั้น     ผมแสดงให้ท่านผู้ชมได้เห็นทาง ซี ดี และโอกาสที่จะรักษาทำรายได้แบบเก่าที่ปลอดจากความเสี่ยง   ผมพูดถึงสิบเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในอนาคต      เหล่านี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่เข้มแข็งที่สุดสำหรับเศรษฐกิจท้องถิ่น

มันมีอุตสาหกรรมที่สามารถจ้างงานได้  ปัญหาอาชญากรรมมีน้อย   และมันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการอยู่อาศัย  แม้จะอยู่ในช่วงที่มืดมน     ผู้ที่เกษียณแล้วควรจะหาที่อยู่ใกล้ๆบริเวณเหล่านี้     รวมถึง..ผมได้ตรวจสอบว่าอาชีพไหนเป็นอาชีพที่ปลอดภัยที่สุด    เพราะการว่างงานจริงและและการทำงานที่ไม่เต็มเวลานั้นยังคงเกิดขึ้นทั่วไปและจะเลวร้ายยิ่งขึ้น

สตีฟ : คุณ จิม ริกคาร์ดส์    สิ่งที่คุณเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์วันนี้ไม่ใช่การปลุกในระยะสั้น  ขอ ขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้มาร่วมรายการกับเรา

จิม : ด้วยความยินดีครับ...สตีฟ
สตีฟ :  วันนี้ คุณ จิม ริกคาร์ดส์  ได้ก้าวเข้ามาเตือนพวกเราเกี่ยวกับหายนะภัยที่กำลังจะย่างกรายเข้ามา   ทางหน่วยข่าวกรองกลัว..ว่ามันกำลังอยู่หน้าประตูของเราแล้ว     อย่างที่คุณเห็น..เขาได้ช่วยผู้ฟัง อยู่ทุกวันทั่วประเทศให้เตรียมตัว    และเรารายการ มันนี่ มอร์นิ่ง ต้องการที่จะทำในส่วนของเราด้วย

ที่ว่า ทำไมเราจึงส่งสำเนาทุกสิ่งที่จิมได้เตรียมไว้ให้ท่านฟรี  ถึงสิ่งที่เรียกว่า โครงการพยากรณ์ 2.0 แผนที่ 2  รวมถึง

- หนังสือขายดีของสำนัก นิวยอร์ค ไทม์ เรื่อง  “ความตายของเงินตรา”  “การพังทลายของระบบการเงินระหว่างประเทศ”
- การโต้แย้งของบทที่ไม่ได้พิมพ์ “วัน .หลังจากแผนการถูกเปิดเผย”
- วีดีโอหกตอนเรื่อง “The Death of Money Digital Debriefing”
- โครงการพยากรณ์พิมพ์เขียวของการป้องกันความมั่งคั่ง
- โครงการพยากรณ์ รายการเฝ้ามองโครงการพยากรณ์  สินทรัพย์มั่นคงและการเงินของเอกชนฉบับย่อ
ให้ท่าน click here เพื่อสิทธิ์ได้รับ โครงการพยากรณ์ 2.0 แผน2…ฟรี
ผมเรียกร้องอย่างจริงจังให้ท่านทำ   เพราะว่าถ้า จิม และผู้ร่วมงานที่ เพนตากอน และ CIA  รวมไปถึงสำนักงานข่าวกรองทั้งหมด..ถูกต้อง    จะไม่มีเวลาเหลืออยู่ในการปกป้องตัวเอง  ถ้าท่านสนใจเรียกร้องสิทธิ์ในสำเนาของท่าน   ง่ายๆ   โทร .... 1.866.460.9039 or 1.443.353.4384 (for international callers) from 9 am to 5 pm (Eastern Time) – and be sure to mention Priority Code WMMRQ944.
ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมในวันนี้  ผม สตีฟ ไมเออร์

ขอให้ปลอดภัยครับ