หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯหลายแห่งกลัว ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภายในระยะเวลา 25 ปี เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าความเห็นของจิมถูกต้อง
(โปรดพิจารณาบทบันทึกการให้สัมภาษณ์ของวันนี้เพื่อหาทางว่า คุณและครอบครัวจะสามารถใช้ชีวิต ได้อย่างไม่เดือดร้อนจากหายนะที่มีมูลค่าถึง 100,000,000,000,000 ดอลลาร์ นี้ได้อย่างไร?)
สตีฟ ไมเออร์ส: (ต่อไปจะเรียกว่า สตีฟ)
ผม...สตีฟ ไมเออร์ส ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมให้สัมภาษณ์ในรายการ มันนี่ มอร์นิ่ง กับคุณ จิม ริกคาร์ดส (ต่อไปจะเรียกว่า จิม) ที่ปรึกษาทางด้าน การคุกคามทางการเงินและสงครามนอกแบบ(the Financial Threat and Asymmetric Warfare) ของเพนตากอน และ ซี.ไอ.เอ
เมื่อเร็วๆนี้ หน่วยงานด้านความปลอดภัยของเราทั้ง 16 หน่วย ได้เสนอรายงานที่น่าเป็นห่วง
หน่วยงานเหล่านี้ รวมไปถึง CIA, FBI, กองทัพบก และทัพเรือ ได้เริ่มทำการประเมินถึงผลกระทบต่อ เงินดอลลาร์ซึ่งมีค่าลดลงในฐานะที่เป็นเงินสำรองของทั่วโลก และฐานะความเป็นมหาอำนาจชั้นนำของเราที่ครอบคลุมไปทั่วโลกกำลังถูกคุกคามทำลาย .. ซึ่งพอจะเทียบได้กับการสิ้นสุดของอาณาจักรอังกฤษภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกมจะจบลงด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับโลกที่จะก้าวไปสู่ยุคของความเป็นอนาธิปไตยที่แพร่ขยายไปทั่ว
จิม ริคคาร์ดส กลัวว่า คำเตือนของตนและมิตรสหาย จะถูกเพิกเฉยจากผู้นำทางการเมืองของเราและธนาคารกลาง เป็นแนวโน้มที่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคมืดมนทางเศรษฐกิจในประวัติ ศาสตร์แห่งชาติเรา
สิ่งหนึ่งที่จะจุดประกายให้แก่ 25 ปีแห่งการตกต่ำครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ทุกวันนี้เรากำลังก้าวไปสู่การทดสอบในทุกๆเรื่องที่เขาได้เปิดเผยออกมา เนื่องจากความสับสนวุ่นวายที่น่าจะเกิดขึ้นภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ ที่คนอเมริกันทุกคนควรจะรับฟังคำเตือนของเขาก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป ขอขอบคุณ คุณ จิม ที่มาร่วมรายการกับเรา
จิม: ด้วยความยินดีครับ ดีใจที่ได้คุยกับคุณ
สตีฟ: ในช่วงเริ่มต้น ปี 80 คุณเป็นคนหนึ่งในทีมที่ช่วยเจรจาเพื่อยุติกรณีวิกฤตตัวประกันในอิหร่าน ในยุคปี 90 เมื่อมีการเปิดเผยว่านโยบายการจัดการเงินทุนระยะยาวของ Wall Street เป็นสาเหตุให้เกิดความล้มเหลวของตลาดเงิน ธนาคารกลางได้เปิดโอกาสให้คุณเข้ามาแก้ไขปัญหาหายนะภัยที่อเมริกากำลังจะตกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และหลังจากเหตุการณ์ 9/11 คุณได้รับมอบหมายจาก CIA ให้ทำการตรวจสอบคนในวงการธุรกิจหลังจากเหตุการณ์โจมตีของผู้ก่อการร้าย
จิม: ครับ ถูกต้อง ปัญหาอยู่ที่ว่า CIA ไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านตลาดเงินซึ่งควรจะต้องมี ก่อนที่จะเริ่มต้นโลกาภิวัฒน์ ตลาดทุนไม่ใช่ส่วนที่แท้จริงของการต่อสู้ CIA เองก็มีส่วนร่วมอยู่บ้างในบาง กรณี พวกเขามีการเตรียมคนใหม่ๆซึ่งผมเองก็มีส่วนในการชักนำผู้เชี่ยวชาญจากวอลสตรีท เข้ามาในองค์กร
เรื่องนี้นำไปสู่โครงการพยากรณ์
ดังนั้น CIA พูดว่าอย่างไร? เอาละ..ถ้าจะมีการเล่นงานอื่นใดอีก....การใช้สัญญานเรื่องราคามาพิจารณาบทบาทของผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาด ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย หรือยุทธศาสตร์ของศัตรูอเมริกา คุณพอ
จะมองออกไหม? คุณได้รับข้อมูลหรือไม่ เพื่อที่จะทำลายแผนการ(ร้าย)และรักษาชีวิตของชาวอเมริกัน?
สตีฟ :
ระบบที่คุณสร้างขึ้นสำหรับโครงการพยากรณ์ จริงๆแล้วเพื่อทำนายการโจมตีของผู้ก่อการร้ายและขัด ขวางการก่อการร้ายเมื่อปี 2006
จิม: 7 สิงหาคม 2006 ผมได้รับอีเมล์จากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เธอบอกว่า “จิม..เราได้รับสัญญาณที่ชัดเจนจากสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ ดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้ก่อการร้ายจะทำการโจมตี” เรามีหลักฐานยืนยัน ผมถูกปลุกขึ้นตอนตีสองในห้องทำงาน เริ่มดูข่าว CNN และเรื่องราวทั้งหมดของ MI-5 (หน่วยสืบราชการลับอังกฤษ) และนิว สกอตแลนด์ยาร์ด ที่เริ่มออกมาสกัดกั้นการโจมตีด้วยการจับกุมผู้ที่ต้องสงสัยว่าให้ความร่วมมือกับผู้ก่อการร้าย แสดงว่าระบบนั่นทำงานได้ผล อย่างไรก็ตามมันยังไม่ดีพอที่จะพยากรณ์การโจมตีของผู้ก่อการร้ายได้ เช่นเดียวกับยุทธวิธีในการโจมตีจากคู่ต่อสู้หรือศัตรูของสหรัฐฯ
สตีฟ : เป็นปีแล้ว จนถึงบัดนี้ เราได้ช่วย เพนตากอนและ CIA เตรียมการยกระดับการทำสงครามนอกแบบและการคุกคามทางการเงิน เพราะทุกวันนี้เกิดความกลัวกันมากว่าเราอาจจะถูกโจมตีทางการเงินอย่างฉับพลันแบบเดียวกับที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกโจมตี อย่างที่คุณได้กล่าวถึงเมื่อก่อนหน้านี้
จิม : ซึ่งบัดนี้ก็เกี่ยวข้องในหลายๆหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ
ประวัติในกรุงวอชิงตัน ที่กระทรวงการคลังและธนาคารกลางดูแลรับผิดชอบเงินดอลลาร์
เพนตากอนและหน่วยสืบราชการลับทั้งหลายต่างดูแลการคุกคามชนิดอื่นๆ แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อดอลลาร์เป็นตัวคุกคาม
คนอเมริกันทั่วไปรู้ว่า :
ธนาคารกลางอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ 3.1 ล้านล้าน ดอลลาร์ (แต่มี “เงินใหม่” มากกว่า 3.1 ล้านล้าน ดอลลาร์ ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจของเรามาตั้งแต่ปี 2008)
เรามีหนี้สาธารณะอยู่ 17.5 ล้านล้าน ดอลลาร์
เรามี หนี้สินรวมกันทั้งหมด 12,700,0000,000,000 ล้านดอลลาร์
สิ่งเหล่านี้คืออะไร?
ได้แก่ การรักษาพยาบาล ความช่วยเหลือทางการแพทย์ สวัสดิการสังคม กองทุนกู้ยืมเพื่อการ ศึกษา แฟนนี่ เม*(สำนักงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งชาติ).... เฟรดดี้ แมค**(สำนักงานสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง) FHA***…(การบริหารการเคหะแห่งชาติ) (เงินอุดหนุน)ตามรายการดังกล่าวนับวันยิ่งมากขึ้นและมากขึ้น ไม่มีทางที่จะจ่ายได้
หนี้สินที่ไม่สามารถนำมาใช้เพื่อการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเทียมของเราได้อีกต่อไป
ในยามที่เศรษฐกิจขยายตัวระหว่างปีทศวรรษ 1950 -1960
หนี้ทุกๆดอลลาร์ที่ถูกสร้างขึ้นได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของเราให้โตขึ้นถึง 2.41 ดอลลาร์ ช่างเป็นช่วงที่ดีมาก แต่โดยสภาวะทรงตัวทางเศรษฐกิจ(สภาพเศรษฐกิจที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น การว่างงานสูง และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีเพียงที่เล็กน้อย )ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ที่ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงภาวะซบเซา ดังนั้นหนี้ที่ 1 ดอลล่าร์ จะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจได้เพียง 41 เซ็นต์ เท่านั้น เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นการตกต่ำอย่างหนัก
ท่านรู้ตัวเลขของปัจจุบันหรือยังว่า ขณะนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจจากมูลหนี้ 1 ดอลลาร์เหลือเพียง 3 เซ็นต์ เท่านั้น
เรามีหนี้กองโต ในขณะที่การเติบโตของเรายิ่งมายิ่งน้อย เหมือนแนวโน้มที่เริ่มจาก 20.41 เป็น 40 เซ้นต์ จนถึง 3 เซ็นต์ และอีกไม่ช้าคงติดลบ นี่เป็นสัญญาณของระบบที่ซับซ้อนไปสู่หายนะ
สตีฟ : จริงๆแล้ว นี่เป็นเรื่องที่คุณได้พูดไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของคุณเรื่อง “ความตายของเงิน” ซึ่งชื่อของมันแสดงนัยอย่างชัดเจน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่า คุณเตือนเราถึงเรื่องเศรษฐกิจจะก้าวสู่ภาวะ 25 ปี แห่งการตกต่ำ นั่นเท่ากับว่าตลาดหลักทรัพย์ดิ่งลงถึง 70% ในชั่วข้ามคืน
จิม : คุณก็รู้...เมื่อผมใช้คำว่า 25ปี ของเศรษฐกิจตกต่ำ ดูเหมือนว่าจะสุดโต่งไปสักหน่อย แต่ไม่ใช่...ในประวัติศาสตร์ สหรัฐฯเราเคยประสบกับภาวะเช่นนี้มาแล้วจากปี 1870–1900 นักเศรษฐศาสตร์เรียกกันว่าภาวะตกต่ำที่ยาวนาน ซึ่งมีขึ้นก่อนเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่(Great Depression) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1929- 1940 ซึ่งนั่นก็ค่อนข้างจะนาน
ในปัจจุบันสหรัฐฯอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
สตีฟ: คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคุณที่ว่าเวลานี้เศรษฐกิจตกต่ำ คำเหล่านี้ทำให้คิดย้อนไปเมื่อปี 1930 และเข้าแถวรับซุปฟรี (สงเคราะห์)
จิม: ทุกวันนี้เราก็เป็นเช่นนั้น พวกเขามีกำลังซื้ออาหารก็แค่ตามซุปเปอร์มาร์เกตในท้องถิ่นเท่านั้น เพราะว่าคนอเมริกัน 50 ล้านคนใช้แสตมป์สะสมซื้ออาหาร ไม่ใช่ว่าเราไม่มีภัยพิบัติ เรามีภัยพิบัติมากมายเพียงแต่มันซ่อนเร้นอยู่ในที่ต่างๆ
อัตราการว่างงานทุกวันนี้จริงๆแล้วสูงถึง 23% ถ้าคุณใช้วิธีคำนวณที่ถูกต้อง
อัตราว่างงานที่แท้จริง
สตีฟ: และคุณชี้นิ้วไปยัง ธนาคารกลาง รัฐสภา และทำเนียบขาว
จิม: ผมเพิ่งเข้าประชุมกับรัฐมนตรีคลังและผมพูดว่า “ธนาคารกลางและกระทรวงการคลังนั่นแหละคือภัยคุกคามความปลอดภัยของชาติที่แท้จริงไม่ใช่ อัล กออิดะห์” และที่นี่ในอาคารนี้กับกลุ่มคนเหล่านี้ พวกคุณกำลังทำลายเงินดอลลาร์และมันคือเรื่องของช่วงเวลาก่อนที่หายนะจะมาถึง และผมก็ได้พิสูจน์ให้บรรดาวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯได้รู้เห็นก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผมได้เตือนวุฒิสมาชิกไปว่า บางทีเราไม่อาจหยุดแผ่นดินไหวบนรอยแยกที่ซาน แอนเดรียส ได้ แต่คงไม่มีใครคิดที่จะส่งวิศวกรของกองทัพไปที่นั่นเพื่อทำให้รอยแยกที่ ซาน แอนเดรียส กว้างขึ้น
แต่การพิมพ์ธนบัตร การสร้างหนี้ และใช้นโยบายทางการเงินแบบไม่ไตร่ตรองของธนาคารกลาง เรากำลังทำให้รอยแยกซาน แอนเดรียส ใหญ่ขึ้นทุกวัน และเมื่อไรที่คุณทำให้ระบบที่ซับซ้อนขยายใหญ่มากขึ้น ความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหากแต่มันจะกลายเป็นระดับเลขยกกำลังเลยทีเดียว ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจจินตนาการได้ในเวลานี้ หายนะยังไม่เกิดขึ้นในทันทีทันใดหรอก แต่ พลวัตรของมันกำลังพัฒนาขึ้น
(หมายเหตุบรรณาธิการ: เพราะการเปิดเผยของจิม ริคคาร์ดส เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกๆชีวิตในอเมริกา รายการ มันนี่ มอร์นิ่ง ได้ส่งสำเนาหนังสือ “ความตายของเงินตรา” ให้แก่ผู้ที่ต้องการประเทืองปัญญา)
สตีฟ:
จิม..คุณใช้เวลาไปมากมายในหน่วยข่าวกรอง.... มันต่างกันมากไหมกับที่เราได้ยินจาก แคปปิตอล ฮิลที่ว่าทำไมการกล่าวหาที่คุณเขียนในหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุให้มีการโต้เถียงกันมากในวอชิงตัน
จิม : เมื่อเร็วๆนี้ผมได้พบปะพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัวใน ร๊อคกี เม๊าท์เทน กับนักการธนาคารกลางคนสองคน คนหนึ่งจาก ธนาคารกลาง และอีกคนหนึ่งจากธนาคารแห่งอังกฤษ พวกเขาพูดถึงเรื่องของ ตนเอง ซึ่งไม่อยากให้มีการเปิดเผยในที่สาธารณะ
ธนาคารกลางพยายามทำการโฆษณาชวนเชื่อไปเล็กน้อย โกหกเรื่องเกี่ยวกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจ พูดถึงการเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ชักจูงให้เราจับจ่ายใช้สอย ธนาคารกลางไม่รู้เลยหรือว่ากำลังทำอะไรอยู่....คุณสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาตามที่คุณต้องการ แต่ถ้าประชาชนไม่ยอมกู้ยืม ไม่ใช้จ่าย เศรษฐกิจของคุณก็พัง แม้จะพิมพ์เงินออกมาก็ตาม คุณคงเข้าใจในเรื่องเช่นนี้
เช่นผมออกไปทานข้าวนอกบ้าน และทิปบริกร แล้วบริกรคนนั้นเอาเงินที่ผมทิปไปจ่ายค่าแท๊กซี่กลับบ้าน คนขับแท๊กซี่เอาค่าโดยสารไปเติมเชื้อเพลิง จากตัวอย่างนี้เงินของผมมีอัตราเร่งเท่ากับสาม หนึ่งเหรียญสนับสนุน 3 เหรียญของสินค้าและบริการ การทิป การขึ้นแท๊กซี่ และการเติมเชื้อเพลิง แต่ถ้าผมรู้สึกสบายๆ ผมอยู่บ้าน ดูโทรทัศน์ ไม่มีการใช้เงิน ดังนั้นเงินของผมจะมีอัตราเร่งเท่ากับศูนย์ แต่ถ้าผมนำเงินไปฝากธนาคารผมไม่ได้ใช้เงิน มาดูกันซิว่าอะไรที่เกิดขึ้นจริงกับอัตราเร่งของเงิน มันก็จมอยู่ตรงนั้นและยิ่งจะจมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าจะเปรียบเทียบกับการลดลงของอัตราเร่งในวันนี้กับเมื่อตอนเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ การดิ่งลงของอัตราเร่งเมื่อเกิดวิกฤติครั้งนั้นยังลงลึกน้อยกว่าตอนนี้
ถ้าคุณเปรียบเทียบว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1920 ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่แล้ว มันมีส่วนคล้ายกันมาก
ดังนั้น..มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมา
ลองคิดว่า...ถ้ามันเป็นเครื่องบินที่กำลังจะตก และใกล้จะกระแทกพื้นแล้ว ธนาคารกลางได้พยายามคว้าคันบังคับเพื่อดึงเครื่องให้กลับขึ้นอีก แต่..เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่มันไม่ได้ผล เรากำลังดิ่งลงสู่พื้นดิน
สตีฟ: เราเพิ่งพบเห็นกับเรื่องของจำนวนตัวเลขที่น่าตื่นตระหนก สัญญาณเหล่านี้กำลังจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มาดูกัน....ผมสามารถสรุปได้ว่าไม่มีใครปฏิเสธว่าประเทศเรากำลังมีวิกฤตในเรื่องหนี้สิน แต่ที่คุณพูดว่า...เราไม่สามารถสร้างหนี้ได้อีกแล้วโดยปราศจากเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงเช่นนี้ เราเกือบจะจมน้ำอยู่แล้ว นั่นเป็นสัญญาณข้อแรก สัญ ญาณข้อที่สองคืออันตรายจากการชะลอตัวของอัตราเร่งทางการเงินของเรา
มันจมดิ่งลงไปในระดับที่เคยพบเห็นมาแล้วตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 มีสัญญาณอย่างอื่นอีกหรือไม่ที่หน่วยงานข่าวกรองกำลังจับตาอยู่ และนำเสนอโดยเร็วต่อความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้?
จิม: มีครับ สตีฟ มันมีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงออกมา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก หนึ่งในนั้นผมกำลังเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด และผมก็ทราบว่าผู้ปฏิบัติงานในหน่วยข่าวกรองทั้งมวลก็กำลังมองอยู่เช่นกัน เนื่องจากมันครอบคลุมถึงระดับพื้นฐาน ที่เรียกว่า ดัชนีแห่งความทุกข์ยาก ดังสมการนี้ ดรรชนีของความทุกข์ = อัตราเงินเฟ้อจริง + อัตราการว่างงานจริง
ถ้าคุณดูดัชนีแห่งความทุกข์ในปัจจุบันนี้เทียบกับช่วงภาวะชะงักงันในปลายทศวรรษที่ 1970 และช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ซึ่งประชาชนอเมริกันจำได้เป็นอย่างดีว่า...เลวร้ายมาก มันนำไปสู่ความไม่มั่นคงของสังคม
ลองกลับไปดูเมื่อตอนที่เกิดวิกฤตฯครั้งใหญ่..ดรรชนีแห่งความทุกข์เมื่อครั้งนั้นอยู่ที่ 27 แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 32.89
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เดี๋ยวนี้มันแย่ยิ่งกว่าช่วงระหว่างที่เกิดวิกฤติฯครั้งใหญ่เสียอีก
อะไรที่แย่ๆเกิดขึ้น เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ?
ธุรกิจทั้งหลายไม่มีเงินชำระหนี้ ความสูญเสียโดยพื้นฐานตกอยู่ที่ธนาคาร ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางได้อัดฉีดเงิน(ภาษี) เพื่อช่วยเหลือธนาคาร และอะไรจะเกิดขึ้น หากธนาคารกลางเองกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย?
สตีฟ : ด้วยสัญญาณเหล่านี้คุณก็เลยเห็นคล้อยว่า ธนาคารกลางกำลังจะล้มละลาย?
จิม : แน่นอน..ในบางเรื่องธนาคารกลางประสบกับความล้มละลายไปเรียบร้อยแล้ว
ผมได้คุยกับคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลาง ผมกล่าว “ผมคิดว่าธนาคารกลางล้มละลายแล้ว” ท่านผู้จัดการคัดค้านและกล่าวว่า “ ไม่หรอก เราไม่ได้ล้มละลาย” แต่ผมได้เน้นกับเธออย่างหนักแน่นจนเธอพูดว่า “เอาละ..เรายอมรับ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่”
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ผู้จัดการธนาคารกลางยอมรับกับผมโดยส่วนตัวว่าธนาคารกลางล้มละลาย แต่กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุนไม่มีความจำเป็นสำหรับธนาคารกลาง ...เอาละ...ผมจะขอเสนอว่า เงินทุน มีความจำเป็นเพียงใดสำหรับธนาคารกลาง โปรดดูแผนภูมิ
แสดงให้คุณเห็นว่า เมื่อเร็วๆนี้ทุนของธนาคารกลางได้เพิ่มขึ้นถึง 56,000,000,000(ห้าหมื่นหกพันล้านล้านเหรียญ) แสดงุถึงความมั่นคง คุณอาจประหลาดใจว่า เงินห้าหมื่นหกพันล้านเหรียญ เป็นเงินจำนวนมหาศาล เป็นรากฐานเงินทุนที่มั่นคงมาก
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด
คุณจะต้องเปรียบเทียบระหว่างเงินทุนกับความสมดุลทางบัญชี ว่ามีจำนวนทรัพย์สินและหนี้สินมากน้อยเท่าใดที่เงินทุนสามารถรองรับได้
คุณจะต้องตกใจเมื่อเห็นภาพนี้ เพราะภาระหนี้ทางบัญชีหรือหนี้สินของธนาคารกลางมีมากถึง 4,300,000,000,000 ดอลลาร์(สี่ล้านสามแสนล้านเหรียญ) ถ้าคุณแบกหนี้จำนวนขนาดนี้บนฐานเงินทุนแค่ห้าหมื่นหกพันล้านเหรียญ ต้องถือว่าไม่มีความมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนปี 2008 มูลค่าหนี้ต่อทรัพย์สินของธนาคารกลางอยู่ที่ประมาณ 22:1 หมายความว่าเงินทุนแต่ละเหรียญ จะรับภาระหนี้ 22 เหรียญ แต่ในปัจจุบันนี้ มูลค่าหนี้สินต่อทรัพย์สินจะมีสัดส่วนเท่ากับ77:1
ใช่ ...เงินทุนเพิ่มขึ้นแต่หนี้กลับเพิ่มขึ้นมากกว่า
สตีฟ: คำเตือนของคุณได้ถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจเลย ในคำรายงานงบประมาณปีนี้วุฒิสมาชิก แรนด์ ปอล ก็ได้อ้างอิงงานของคุณ ด้วยเหตุใดเราจึงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเราเข้าไปใกล้กับขอบเหวแห่งความล่มสลายแบบอาณาจักรโรมัน จริงๆแล้วเรามีภาพของวุฒิสมาชิกพอล ที่ เสนอแนะต่อประชาชนชาวอเมริกันให้รับฟังคำเตือนของคุณ
วุฒิสมาชิก แรนด พอล: จิม ริคคาร์ดส ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการล้มละลายของธนาคารกลางที่ไม่ได้เขียนลงไปบนพื้นฐานของการตลาด ธนาคารกลางได้แยกเงินทุนของตนออก แน่นอน....ธนาคาร
กลางได้นำข้อสังเกตนี้ใส่ไว้ในงบดุลในด้านค่าใช้จ่ายของตน และไม่ได้บันทึกมันลงไปในด้านการ ลาด ถ้าทำเช่นนั้น พวกเขาจะพัง
จิม : ก่อนอื่น..ผมขอยกย่องท่านวุฒิสมาชิก พอล แรนด์ ท่านเป็นเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจถึงอันตรายอันนี้
แต่ปัญหาของมันไม่ได้จำกัดอยู่ที่ธนาคารกลางเท่านั้น มันลุกลามไปยังธนาคารของเอกชนทั้งระบบอีกด้วย
มีหนี้สินจำนวนประมาณ หกแสนล้านเหรียญ(600,000,000,000)ในงบดุลของระบบธนาคารของเรา นานมา แล้ว การเติบโตของธนาคารและหนี้สินเป็นสองเท่าของการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ แต่เมื่อไม่นานมานี้ มันเกิดระเบิดขึ้น...ปัจจุบันมันสูงขึ้นถึง 30:1
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจทุกๆหนึ่งดอลลาร์ เป็นการสร้างสินเชื่อขึ้น 30 ดอลลาร์โดยระบบธนาคาร
ทุกอย่างไม่มีความมั่นคง
ผมสามารถให้ตัวอย่างที่ดีมากแก่คุณ ซึ่งเป็นความจริงจากฟิสิคส์ ถ้าคุณมื...เอาเป็นว่า ยูเรเนียมก้อนหนึ่งที่มีลักษณะสี่เหลี่ยม ซึ่งแน่นอนมันไม่มีพิษมีภัยอะไร สิ่งที่เราเรียกกันว่ากึ่งอันตราย ก็คือกัมมันตรังสีของมัน ตอนนี้คุณคิดจะจัดการกับมันโดยแบ่งออกมาก้อนหนึ่งมีขนาดเท่าส้มโอ และ อีกชิ้นหนึ่งที่รูปร่างเหมือนไม้เบสบอล นำเอาไปใส่ในท่อแล้วยิงมันออกด้วยการระเบิดอย่างรุนแรง และนั่นจะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ซึ่งสามารถทำลายเมืองทั้งเมือง การทำให้มันเปลี่ยนรูปทรงและเกิดเป็นผลขึ้นเราเรียกมันว่า จากกึ่งอันตรายไปสู่อันตรายสูงสุด
สตีฟ: จิม...คุณกำลังเห็นอาการบางอย่างว่าตลาดหุ้นของเราว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่จุดอันตรายอย่างนั้นหรือ?
จิม: ใช่ครับ โชคร้ายสักหน่อย เราเห็นอาการมากมายในนั้น อาการพื้นฐานอย่างแรกที่สำคัญก็คือ
อัตราส่วนของการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
เพราะเราจำได้ว่า มูลค่าของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นอนุมานได้ว่าเป็นการแสดงถึงปัจจัยพื้นฐานทาง ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมันไม่ได้แสดงถึงความเป็นไปในตัวมันเอง แต่ถ้าคุณมองว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในอัตราส่วนเมื่อเร็วๆนี้ มันพุ่งขึ้นสูงถึง 203%.
ก่อนที่จะเกิดภาวะถดถอย อัตราส่วนของมันอยู่ที่183%.
ลองกลับไปดูฟองสบู่ทางเทคนิคที่โด่งดัง และเกิดแตกขึ้นเมื่อปี 2000 ตอนนั้นอยู่ที่ 204 %.
และถ้าคุณต้องการข่าวที่น่ากลัวที่สุด ก่อนหน้าวิกฤตฯใหญ่ ตัวเลขอยู่ที่ 87%.
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ การประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์ เมื่อเทียบเป็นร้อยละกับผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) สูงเป็นสองเท่าของก่อนที่จะเกิดวิกฤตฯใหญ่ ดังนั้น...จึงเป็นตัวชี้วัดที่ดีจริงๆสำหรับคำถาม “ตลาดหลักทรัพย์กำลังจะพังหรือ?”ข้อมูลส่วนใหญ่บอกว่า “ใช่แล้ว เรากำลังจะเป็นอย่างนั้น” แต่ก็มีตัวชี้วัด และสัญญาณเตือนอย่างอื่นอีกถ้าคุณต้องการ แต่มันจะทำให้ตกใจหนักขึ้นอีก..นั่นก็คือ มวลรวมมูลค่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ตราสารอนุพันธ์)
ที่แน่นอนมีหุ้นจำนวนหนึ่งของบริษัท IBM ที่ยังไม่ได้ชำระ เราก็รู้หมายเลขหุ้นเหล่านั้น แต่มีการซื้อขายกันล่วงหน้าอย่างไม่จำกัด ผมสามารถเขียนข้อเสนอซื้อขายล่วงหน้าหุ้น IBM และหุ้นตัวอื่นๆในตลาดหลักทรัพย์ได้ทั้งวัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
ขณะนี้ ตราสารอนุพันธ์ทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า เจ็ดแสนล้านล้านดอลลาร์(7,000,000,000,000 ล้านล้าน) ไม่ใช่ระดับหมื่นล้านนะครับ เจ็ดแสนล้านล้านเท่ากับสิบเท่าของ GDP ทั้งโลกรวมกัน
หายนะนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเราต้องถามตัวเองว่า มันจะเลวร้ายไปถึงไหน?
เอาละ...อะไรเกิดขึ้นเมื่อปี 2007-2008 เมื่อตลาดประสบกับหายนะ พวกเรายังจำกันได้ถึงราคาหุ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ ราคาบ้านอยู่อาศัย ตกต่ำลง ทั้งหมดนั้นเกิดความสูญเสียความมั่งคั่งไป ประมาณ หกแสนล้านเหรียญ ($60 trillion)
ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ว่า ระบบมันใหญ่ขึ้น ดังนั้นผมคาดว่าครั้งนี้เราจะสูญเสียความมั่งคั่งไปประมาณหนึ่งล้านล้านเหรียญ และเป็นไปได้ที่จะมากกว่านี้
เราอยู่ในช่วงวิกฤติของรัฐ และกำลังขยับเข้าใกล้รัฐแห่งมหาวิกฤติ เมื่อระบบถูกกระทบอย่างรุนแรง และยังมีตัวเร่ง และจุดเปราะบางที่ควบคุมไม่ได้ และมีหลายจุดที่ผมได้ทำการสำรวจมา
สตีฟ: จิม...ผมอยากใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อแลกเปลี่ยนกับคุณ เกี่ยวกับจังหวะก้าวของประชานอเมริกันในเรื่องการลงทุนและจัดการเรื่องการเงินของตน เพื่อเตรียมตัวเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณและเพื่อนพ้องได้ทำนายไว้ แต่ตอนนี้โปรดชี้ให้เห็นจุดเปราะบางเหล่านั้นด้วย
จิม: จุดเปราะบางสำคัญจุดหนึ่ง ให้เรามามองถึงต่างชาติที่เป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลอเมริกา ซึ่งบัดนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำความเข้าใจ เราทุกคนรู้ว่าการกระทรวงการคลังได้ออกตราสารหนี้ทุกประเภทมีมูลค่ามากกว่า หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านเหรียญ คำถามคือ ใครเป็นผู้ซื้อ?
ชาวต่างชาติหนี้สินของสหรัฐฯส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ ใครล่ะ? จีน รัสเซีย และประเทศต่างๆ แน่นอน...ประเทศที่ไม่เป็นมิตรของเรา สามารถขายทิ้งได้ทุกเมื่อหากเขาต้องการ เอาล่ะ...นั่นเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว ต่างชาติที่เป็นเจ้าหนี้ของสหรัฐฯ กำลังดึงถ่วงเรา
ทั้งนี้ยังมีเรื่องที่น่าสนใจมากกว่าอีก ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงโครงการที่ผมทำร่วมกับ CIA ...โครงการพยากรณ์ และเราพูดว่า... คุณสามารมองเห็นไม่เพียง แต่การเคลื่อนไหวทางการตลาด แต่คู่แข่ง ศัตรู ผู้ก่อการ ร้าย และอื่นๆ กำลังเคลื่อนไหวในตลาดการ เงินอยู่
พวกเรารู้กันดี..เรื่องที่รัสเซียรุกรานไครเมียในฤดูใบไมผลิ ปี 2014 สมมุติว่าคุณเป็นปูติน คุณรู้ดีว่าคุณกำลังรุกรานไครเมีย คุณสามารถคาดหมายได้ว่าอเมริกาจะทำการแซงชั่นคุณในด้านการเงิน คุณจะ ทำอย่างไร? โดยพื้นฐานแล้วคุณสามารถบรรเทาผลกระทบจากการแซงชั่น โดยเริ่มทำการลดค่า เงินล่วงหน้าเพื่อว่าเมื่อคุณเคลื่อนไหวและกระทรวงการคลังพยายามต่อต้านคุณ นั่นหมายความว่าคุณโดดเดี่ยวตัวเอง
เอาละกลับมาดูเมื่อเดือนตุลาคม 2013 เป็นช่วงที่รัสเซียเทขายพันธบัตรเดือนแล้วเดือนเล่า
เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังดำเนินการบางอย่างอยู่ เพื่อทำสงครามทางการเงินเพื่อ
ต่อต้านสหรัฐฯ แต่คาดว่า มีเรื่องที่ร้ายกว่านั้น
เรารู้ว่าจีนและรัสเซียทำงานร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่รัสเซียเริ่มเทขาย จีนก็ทำเช่นนั้นด้วย
สตีฟ: หน่วยข่าวกรองต่างๆไม่มีความสามารถที่จะปกป้องประเทศของเราในกรณีที่ว่านี้ ให้มากขึ้นไป เลยหรือ?
จิม : เชื่อหรือไม่ ว่ามีหน่วยข่าวกรองอยู่ในกระทรวงการคลัง และในความเป็นจริงพวกเขายังมี วอร์รูม อีกด้วย นั่นสามารถบอกคุณได้ว่าสงครามการเงินเกิดขึ้นที่นี่และเป็นความจริง ดังนั้นถ้าพวกรัสเซียเทออกมาอีก พวกจีนก็คงทำเช่นเดียวกัน ใครจะเป็นคนซื้อหนี้เหล่านี้? เอาละผู้ซื้อลึกลับกำลังจะปรากฏตัว
เมื่อเร็วๆนี้ เบลเยี่ยมเป็นผู้ซื้อจำนวนมหาศาล ในหลักทรัพย์ของรัฐบาลสหรัฐฯเป็นจำนวนนับแสนล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
สตีฟ: เช่นนั้..เบลเยียมก็เริ่มเก็บพันธบัตร โดยร่วมมือกันในเวลาที่รัสเซียและจีนเริ่มเทขายพันธบัตรของพวกเขาละสิ
จิม: ไม่ใช่พวกเบลเยียมหรอก จำนวนขนาดนี้มันมากเกินบัญชีเดินสะพัดของเบลเยี่ยม
เบลเยียมเป็นแค่แนวร่วมเท่านั้น คุณรู้ไหม หรือว่าจะเป็นธนาคารกลางเสียเอง ? นั่นเป็นจุดที่น่าสนใจละ บางทีโดยทางเปิดแล้วไม่รู้ว่าผู้ซื้อลึกลับคนนั้นคือใคร แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติรู้ ตอนนี้กระทรวงการคลังปฏิบัติการผ่านวอร์รูมนี้ และธนาคารกลาง..ผู้ซื้อลึกลับในเบลเยียม ขณะนี้ พวกเขาได้ให้การสนับสนุนตลาดพันธบัตรอยู่
ตอนนี้ยังไม่เกิดหายนะ แต่พวกเขายังไม่มีความสามารถที่จะปล่อยเผือกร้อนๆออกจากมือ มันมีความจำกัด เรื่องนี้น่ากลัวมากถ้าธนาคารกลางปล่อยออกไป เราได้พูดกันมาแล้วเรื่องที่ธนาคารกลางมี หนี้ต่อทรัพย์สินในอัตรา 77:1
ถึงตอนนี้ธนาคารกลางมีขีดจำกัดว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง เดี่ยวนี้ถ้าเกิดต่างชาติยังเทขายพันธบัตรออกมาอีกและไม่มีผู้ซื้อ อะไรเป็นเรื่องที่คาด? ... อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้น.... ตลาดหลักทรัพย์และตลาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจะล่ม อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหมายความว่าหนี้ก็จะสูงขึ้นด้วย อัตราดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้นอีก
เพื่อให้คุณเริ่มต้นที่เกลียวแห่งความตาย และไม่มีทางออก
สตีฟ: การโจมตีตลาดพันธบัตรของเราเป็นเรื่องที่ชัดเจน เป็นจุดล่อแหลมที่เกิดประกายไฟของวิกฤตเศรษฐกิจที่คุณพยากรณ์ในหนังสือของคุณไว้ เรามาพูดถึงจุดที่ล่อแหลมอื่นๆอีก
จิม : สิ่งที่ผมเรียกว่าจุดล่อแหลมจุดที่สองนั้นเกี่ยวกับเปโตรดอลลาร์
สตีฟ: คุณพอจะอธิบายได้ไหมว่าเปโตรดอลลาร์คืออะไร ?
จิม : มันคือระบบของการส่งออกน้ำมันที่ใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นราคาพื้นฐาน น้ำมันไม่จำเป็นต้องมีราคาเป็นดอลลาร์ อาจจะเป็นยูโร เงินเยน สวิสฟรังค์ หรือทองคำ และอาจจะมีราคาเป็นสิ่งอื่นๆอีกมากมาย แต่ในความเป็นจริงตลาดน้ำมันทั่วโลกซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์
จริงๆแล้วผมมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเกิดของระบบเปโตรดอลลาร์
เมื่อปี 1974 ผมไปทำเนียบขาวครั้งแรกด้วยเรื่องธุรกิจอย่างเป็นทางการ พวกเราเป็นกลุ่มเล็กๆแค่ 5 คน และได้พบกับคุณ เฮลมุท ซอนเนนเฟลท์ ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งรองที่ปรึกษาความปลอดภัยแห่งชาติ เป็นเบอร์สองรองจาด เฮนรี่ คิสซิงเกอร์ ตอนนั้นเมื่อต้นทศวรรษที่ 70 คุณคงจำกันได้ว่าราคาน้ำมัน บาร์เรลละแค่ 2 เหรียญ พอปลายทศวรรษราคาพุ่งขึ้นไปที่ 12 เหรียญ
นี่คือการตื่นตระหนกเรื่องน้ำมัน (เข้าคิวเติมน้ำมัน)
ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด อัตราเงินเฟ้อเริ่มควบคุมไม่ได้นั่นเป็นเรื่องของเชื้อเพลิง คุณก็รู้ว่า คนอเมริกัน ยุคนั้นจำมันได้เป็นอย่างดี
เราอยู่ในทำเนียบขาวพูดกันถึงเรื่องนี้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี ภาพการณ์ข้าง หน้า (scenarios) ภาพหนึ่งที่พวกเราถกกันก็คือ กองทัพของเราควรจะเข้าไปจัดการซาอุดิอาระเบีย เราต้องสร้างความมั่นคงให้แก่แหล่งน้ำมันและสร้างปริมณฑลทางการทหารไว้รอบๆ
เราจะสูบน้ำมันและตั้งราคาที่สหรัฐฯเห็นด้วย ถึงตอนนี้เราจะให้เงินสนับสนุนแก่ซาอุดิอาระเบีย
เราไม่ต้องการขโมยเงินของพวกเขา เราไม่ต้องการขโมยน้ำมันของพวกเขา เราเพียงต้องการจะกำหนดราคาเท่านั้น โชคดีที่แผนการนั้นไม่ได้นำออกมาใช้
แต่มันแสดงให้คุณเห็นถึงสิ่งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในเวลานั้น แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ
ทำไมเราถึงไม่บุกซาอุดิอาระเบีย? เอาละ..คำตอบก็คือคิสซิงเกอร์และซาอุดิอาระเบียทำความตกลงกันได้ ซาอุดิ พูดว่า “ตกลง เราจะตั้งราคาน้ำมันเป็นดอลลาร์ เพื่อประกันบทบาทของดอลลาร์ให้เป็นเงินตราสำรองของโลก”
แต่ต้องมีค่าต่างตอบแทน โดยเราตกลงจะเป็นหลักประกันต่อความต่อเนื่องของราชวงศ์ซาอุดและบรร ดาพระญาติวงศ์ของซาอุดิอารเบีย โดยการขยายหน่วยความปลอดภัยแห่งชาติของซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากพวกเขามีกองทัพที่อ่อนแอมาตลอดและมีเพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยลงรอยกัน มีศัตรูจำนวนมากในแถบภูมิภาคซึ่งเริ่มต้นที่อิหร่านและอื่นๆ
ดังนั้นคำถามน่าจะเป็นว่า การตกลงกันเรื่องเปโตรดอลลาร์นั้นใช้การได้ไหม? และมันดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือเปล่า
เมื่อเริ่มใช้ เงินดอลลาร์ดังกระหึ่ม มันเป็นยุคที่บางคนเรียกขานว่ายุคแห่งราชาดอลลาร์ เป็นช่วงเวลาที่ดอลลาร์มีค่าแข็งที่สุด ที่เกิดขึ้นในยุคของ วอล์คเกอร์และเรแกน ในทศวรรษที่ 80 แต่มันมีความต่อ เนื่องเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นจวบจนถึงปี 2000
และต่อจากนั้นดอลลาร์ก็เริ่มอ่อนตัวลง
สตีฟ: อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เปโตรดอลลาร์ลดค่าลง?
จิม : เอาละ..เรามาดูตามความจริงกัน พิจารณาถึงเปโตรดอลลาร์ หรือเงินดอลลาร์ในฐานะที่เป็นเงินสำรองของโลก เรามาพิจารณาถึงเก้าอี้ที่มีสามขา
ตราบเท่าที่ขาทั้งสามยังยืนอยู่ รากฐานยังมั่นคง และดอลลาร์ก็จะยังคงอยู่ในฐานะของเงินสำรองโลก
ขาใครขามัน แต่ถ้าขาเหล่านั้นถูกดึงออกไปก็จะไม่มีขาเหล่านั้นอีก ขาเหล่านั้นคืออะไร? ขาแรกคือ ซาอุดิ อาระเบีย ที่ซึ่งมีการตกลงเรื่องเปโตรดอลลาร์เริ่มที่นั่น
ซึ่งข้อตกลงของเราว่าเราจะรับประกันความมั่นคง ของซาอุดิอาระเบีย แต่เมื่อไม่นานมานี้...กลับไปเมื่อเดือนธันวาคม 2013
ประธานาธิบดีโอบามาแทงข้างหลัง ชาวซาอุดิ โดยยอมรับว่าอิหร่านเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในภูมิ ภาคนี้
คุณรู้หรือไม่ว่าประธานาธิบดีได้ดึงเอาอำนาจของชาวอเมริกันออกมาจากที่ต่างๆในโลก ในมุมมองของเขาที่ว่า เราควรปล่อยให้พวกเขาดูแลกันเอง ทุกๆแห่งทั่วโลกจะต้องมีการจับตามอง
ประธานาธิบดีเชื่อว่าอิหร่านกำลังจะกลายเป็นผู้ดูแลตะวันออกกลาง พวกเขากำลังจะเป็นพี่เบิ้มของภูมิภาค แล้วจะทิ้งซาอุดิอาระเบียไว้ตรงไหน? ปล่อยให้โดดเดี่ยวอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ซาอุดิ อาระเบียพูดว่า “ช้าก่อน...คุณได้บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติเรา คุณทรยศเราในข้อตกลงเรื่องเปโตรดอลลาร์ ทำไมเราต้องแย่ล่ะ? เราอาจจะเริ่มตั้งราคาน้ำมันเป็น ทอง หรือยูโร หรืออาจจะเป็นเงินหยวนของจีนก็ได้
ขาแรก...ของเก้าอี้ถูกลากออกไปแล้ว ซาอุดิ กำลังถอนตัวออกจากเปโตรดอลลาร์ เพราะเราไม่สามารถให้หลักประกันความปลอดภัยแก่พวกเขาได้ เรากำลังแสดงความสนิทสนมกับอิหร่านอยู่
ขาที่สองคือรัสเซีย ตอนนี้รัสเซียไม่ได้เป็นสมาชิกของโอเปค(OPEC/ Organization of Petroleum Exporting Country ) แต่ก็เป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ และแน่นอนใหญ่กว่าซาอุดิ อาระเบีย
แม้จะไม่ใช่สมาชิกของโอเปค แต่ก็ชื้อขายน้ำมันด้วยเงินดอลลาร์ ดังนั้นพวกเขาได้ลงนามข้อตกลงการใช้ เปโตรดอลลาร์ ในวิถีทางของตนเอง ตอนนี้เรากำลังเข้าไปพัวพันกับสงครามการเงิน รัสเซียพร้อมแล้วที่จะตอบโต้ และนี่ก็ไม่ใช่ข่าวที่เป็นความลับอะไร มีการพูดกันอย่างเปิดเผย
อังไดร คอสติน ประธารคณะกรรมการธนาคาร VTB ที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียกล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลกที่จะใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นทุนสำรอง โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว”
สมาชิกรัฐสภารัสเซียคนหนึ่งพูดว่า “ดอลลาร์คือสิ่งชั่วร้าย เราจะขายแก๊สให้แก่ลูกค้าเป็นเงินรูเบิลและหลังจากนั้นเราจะแลก รูเบิลกับทองคำ ถ้าไม่พอใจที่จะทำอย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาหนาวไปจนตาย ”
นั่นคือ ขาที่หนึ่งและสองของม้านั่ง..ซาอุดิ อาระเบียและรัสเซียถูกดึงออกไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนขาที่สามได้แก่จีน ซึ่งกำลังจะถูกลากออกไป
สตีฟ : รัสเซียและจีนยังคงกำลังมีบทในการโค่นเปโตรดอลลาร์ ...เมื่อเร็วๆนี้ที่พวกเขาเซ็นสัญญาร่วมมือกันในด้านพลังงานมีมูลค่าถึง สี่แสนล้านเหรียญ ก็ด้วยวัตถุประสงค์นี้หรือ?
จิม : แน่นอน...รัสเซียเป็นชาติที่ส่งพลังงานออกมากที่สุดของโลก จีนเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกย่อมมีความต้องการพลังงานสูง นี่คือพันธมิตรโดยธรรมชาติของสองประเทศ ดอล ลาร์กำลังโดดเดี่ยว อีกทั้งจีนยังทำสัญญาซื้อขายโดยใช้เงินหยวนกับประเทศคู่ค้าไปทุกที่ในโลก
พวกเขากำลังทำกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ถ้าปริมาณการค้าขายมีจำนวนเงินมากพอ มันจะกลายไปเป็นเงินทุนสำรอง สิ่งเหล่านี้คือฟางเส้นสุดท้ายที่ล่องลอยไปในอากาศซึ่งจะนำไปสู่การพังทลายของดอลลาร์ในฐานะที่เป็นสกุลเงินทุนสำรอง
สตีฟ : จิม..ในหนังสือของคุณ คุณสำรวจว่ามีชาติที่บัดนี้ใช้ทองคำเป็นอาวุธทางการเงิน มันเป็นหนึ่งในจุดล่อแหลมที่อันตรายมากสุดหรือไม่?
จิม : แน่นอนที่สุดมันเป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่อันตรายมากและ นั่นแหละ..ทำไมคนส่วนมากจึงมองมาที่ดอลลาร์และกล่าวว่า ดูสิ...ดูคุณจะไม่ชอบดอลลาร์..คุณอาจจะกังวลเกี่ยวกับดอลลาร์ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน แต่มีที่หนึ่งที่ยังไปได้ ทองคำไงละ...คุณไม่ต้องซื้อพันธบัตร แต่คุณสามารถซื้อทองได้
และประเทศอื่นๆต่างก็กำลังทำเช่นนั้นจริงๆ
ดังนั้นการสำรองทองคำของโลกจึงเกิดความไม่สมดุลขึ้นโดยพื้นฐาน
นี่คือเรื่องหนึ่งที่วงการข่าวกรองกำลังจับตาอยู่อย่างใกล้ชิด และจีนก็เป็นอันดับหนึ่งหนึ่งในกรณีของเรา
นี่ถึงว่าทำไมจีนจึงไล่เก็บทองคำมากกว่า 3,000 ตันในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาไม่พูดความจริง และกล่าวเป็นทางการว่ามีเพียง 1,054 ตันเท่านั้น
เหตุผลก็คือ จีนใช้สินทรัพย์ทางการทหารและหน่วยงานสืบราชการลับของตนเก็บทองคำเหล่านี้อย่างลับๆ เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ไปพบกับเจ้าหน้าที่อาวุโสท่านหนึ่งของบริษัทโลจิสติกทางความมั่นคงระดับโลกแห่งหนึ่ง
โลจิสติกทางความมั่นคงหมายถึง กลุ่มคนที่ปฏิบัติงานลับ และใช้รถหุ้มเกราะ พวกเขาขนส่งโลหะธาตุ ไม่ใช่ธนาคารกลาง ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาล มันคือบริษัท Brinks และ G4S และ ViaMat. บริษัทพวกนี้ล้วนมีบทบาทในขอบข่ายงานของเขา
หนึ่งในพนักงานของ บ.เหล่านี้บอกผมว่า พวกเขาขนทองคำไปยังประเทศจีนไป นำไปยังตึกเล็กๆที่มั่นคงของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน หรือจะพูดว่า เขาอยู่ในรถหุ้มเกราะและมีบุคลากรที่ใช้ยานพาหนะหุ้มเกราะนำทองคำเข้าไปในประเทศ ผมรับประกันได้ว่าไม่มีการแสดงหลักฐานอย่างเป็นทางการที่ท่าเรือฮ่องกงอย่างแน่นอน
ทำไมจีนจึงทำเช่นนี้?
คนส่วนมากจะคาดเดาเอาว่าพวกเขาเริ่มนำเอาทองคำมาหนุนค่าเงินของตน เพื่อให้เงินหยวนมีทองคำหนุนอยู่ให้เป็นเงินตราสำรองของโลกอีกสกุลหนึ่ง นั่นไม่ใช่อย่างเด็ดขาด จีนไม่สามารถป้องกันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้
นั่นไม่ใช่สิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ก็คือป้องกันการล่มสลายของเงินดอลลาร์ จีนไม่สามารถป้องกันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ พวกเขาทำได้ก็คือการเพิ่มจำนวนทองคำสำรอง
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันภายในหน่วยสืบราชการลับอยู่แล้ว ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ อะไรจะเกิดขึ้นหากมีการเปิดเผยต่อสาธารณะ?
นี่คือจำนวนของทองคำสำรอง ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าของซึ่งถูกประกาศออกมา
นี่คือปลายมีดที่จ่อหัวใจของดอลลาร์
สตีฟ : จิม จุดล่อแหลมทั้งหมดนี้จีนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นี่ไม่ใช่ปฏิบัติการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจในการโจมตีอเมริกาหรือ?
จิม : ยังมีบางอย่างอยู่อีก จุดล่อแหลมอื่นๆที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับระบบการเงินของโลก
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสหรัฐฯไม่ใช่ผู้ที่ทำให้ปิรามิดล้มลง แต่เป็นจีน? มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีมาก
พวกเขามีระบบการธนาคารที่เข้มแข็งมาก แต่เพิ่งจะเริ่มต้น ยังมีบางอย่างที่เรียกว่าระบบธนาคารเงาซึ่งปัจจุบันนี้มีมูลค่าทางอุตสาหกรรม 7,500,000,000,000 ล้านล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 4,067% ตั้งแต่ปี 2005
สตีฟ : ธนาคารเงาเพิ่งจะปรากฏเป็นข่าวในระยะนี้ คุณจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?
จิม : ถ้าคุณฝากเงินกับธนาคารในจีน ก็เหมือนกับในสหรัฐฯมันไม่ได้ให้ผลตอบแทนอะไรแก่คุณเลย เท่ากับศูนย์ หรือ แค่ 0.25 เปอร์เซ็นต์...มันน้อยจนน่าสมเพช แต่พวกเขาจะเสนอการลงทุนที่จ่ายดอกเบี้ย 5 6 ถึง 7 เปอร์เซ็นต์
พวกเขาเป็นอะไรไป? จริงๆแล้วพวกเขานำเงินไปซื้อสิทธิการจำนองทรัพย์สินที่มีราคาถูก ทรัพย์สินที่เก็งกำไร และทรัพย์สินที่เกิดจากภาวะฟองสบู่และที่กำลังจะขาดอายุ
การล้มละลายในสหรัฐฯ ก่อนปี 2008 สิ่งก่อสร้างใหม่ๆโตเป็น 16 % ของ จีดีพี 16% ก็นับว่าค่อน ข้างจะสูงและเปราะบางมากแล้ว ทีนี้ เรามาดูที่จีนกันบ้าง
ในแต่ละปีของสามปีหลัง การก่อสร้างโตถึง 50% ต่อการเพิ่มขึ้นของจีดีพี พวกเขาก่อสร้างโครงการช้างเผือก ก่อสร้างโครงการอนุสรณ์สถานต่างๆ ก่อสร้างเมืองร้าง ผมเคยอยู่ที่จีน รู้จักกับเจ้าหน้า ที่พรรคคอมมิวนิสต์และเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด พวกเขาพยายามชักจูงผมให้ทำธุรกิจบางอย่างที่นั่น
ผมไปยังที่แห่งหนึ่งใกล้นานกิง พวกเขาไม่ได้สร้างตึกเจ็ดหลังหากแต่สร้างเมืองเจ็ดเมือง ทุกเมือง เต็มไปด้วยกลุ่มตึกระฟ้า โรงแรมหรู สนามกีฬา บ้านเรือน ที่อยู่อาศัยพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้างสรรพสินค้า รถใต้ดิน ถนนไฮเวย์ และสนามบินที่รองรับเมืองทั้ง 7 แห่งนี้ สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เกิดขึ้นเท่าที่พอมองเห็นด้วยสายตา แต่มันล้วนว่างเปล่า...ทั้งหมด นี่คือประเด็น
ก่อนที่จะล้มละลาย ในสหรัฐฯจะใช้รายได้จากการทำงานประมาณ 4 ปี 3 เดือน ก็สามารถซื้อบ้านแบบทั่วไปได้หนึ่งหลัง ที่จีนต้องใช้รายได้ถึง 18 ปี
ถ้าพวกเขาสร้างอพาร์ทเม้นท์ สหกรณ์ และคอนโด ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของได้ คุณก็รู้ว่าราคาของมันกำลังก้าวไปสู่หายนะ
เจ้าหน้าที่ธนาคารระดับสูงในจีนพูดว่า “นี่มันโครงการแชร์ลูกโซ่ (Ponzi scheme)ชัดๆ” นั่นเขาเป็นคนพูดนะ ไม่ใช่ผม ซึ่งผมก็เห็นด้วย
พวกเราทั้งหลายรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นกับแชร์ลูกโซ่ ในที่สุดเมื่อคุณหลุดออกมาจากไอ้ตัวดูดได้มันก็จะพังทลาย
เมื่อคุณพังไปแล้ว เป็นไปได้ที่คุณจะวิ่งไปธนาคาร นายธนาคารจะทำได้ก็แค่แสดงความเสียใจ พร้อมกับกล่าวว่า...เราไม่อาจจ่ายให้คุณได้..มันไม่ใช่ปัญหาของเรา เอาละ..มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย
มันหมายถึงอะไร เมื่อเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกต้องหยุดชะงักลง? มันจะกลายเป็นหายนะภัยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก มันจะฉุดระดับราคาหุ้นที่ประเมินกันไว้สูงลิบให้ตกลง มา ซึ่งเราจะได้เห็นในตลาดหุ้นของสหรัฐฯ และนี่คือการเริ่มต้นของหายนะภัยทางด้านเศรษฐกิจของทั้งโลก
สตีฟ : จิม ผมอยากจะให้คุณพูดถึงจุดล่อแหลมอีกจุดหนึ่ง มันน่าจะมีการกำหนดแผนบางอย่างไว้ ล่วงหน้า ซึ่งคุณเชื่อว่ามีอยู่ภายใน IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) และมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ..... ที่จะมีบางสิ่งมาแทนเงินดอลลาร์ในการเป็นเงินตราสำรองของโลก
จิม : มันไม่ใช่แค่ความเชื่อของผมเท่านั้น นี่มันเอกสารจริง มันเป็นแผนการสิบปีที่จะไม่ใช้ดอลลาร์ มาเป็นเงินตราสำรองของโลก ไอ เอ็ม เอฟ ได้ออกเอกสารมาในปีนี้ ชื่อว่า “ ดอลลาร์ ครองอำนาจสูงสุด ด้วยการยกเลิก ” และนี่ผมคัดลอกข้อความมาโดยตรงนะ
“การใช้นโยบายเชิงรุกทางการเงินที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของธนาคารกลางของสหรัฐฯ ได้เพิ่มอุปทานให้แก่ดอลลาร์มากขึ้น และได้สร้างรอยร้าวให้แก่ระบบการเงิน สถานะของเงินดอลลาร์จะตกอยู่ในอันตราย ”
เงินทุนสำรองไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าจำนวนเงินออมของประเทศซึ่งได้แก่เงินที่เก็บออมไว้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อคุณมีเงิน..คุณก็มีการตัดสินใจที่จะทำอะไรกับมัน...คุณอาจจะซุกมันไว้ใต้ที่นอนก็ได้ เหมือนที่พูดกันว่า คนส่วนมากคิดว่าเงินดอลลาร์ดีกว่าอย่างอื่น เพราะว่าไม่มีทางเลือกใดจะดีเท่า นั่นไม่จริง เงินดอลลาร์กำลังอ่อนตัวลงอย่างแรง เป็นร้อยละของสกุลเงินสำรองทั้งหลายของทั้งโลก
ลองจินตนาการ ต่อไป ถ้ายังเป็นอย่างนั้น เงินยูโรจะแข็งขึ้น เงินฟรังสวิสก็แข็งขึ้น เงินสกุลอื่นๆก็จะแข็งขึ้น นั่นเป็นผลอย่างหนึ่ง แต่ยังมีผลอื่นๆอีกที่บางทีอาจจะมาเร็วขึ้น นั่นคือ..เรามีความตื่นตระ หนกกับการเงินของโลก ถ้าธนาคารกลางทำให้เหลวทั้งโลกอีกครั้ง เราจะเอาเงินมาจากไหนกันอีก? มันคงไม่อาจได้มาจากธนาคารกลางที่มีอัตราส่วนหนี้ต่อเงินทุนที่ 77 ต่อ 1
ยังมีบัญชีงบดุลที่ดีหลงเหลืออยู่คือของ IMF ไม่น่าเชื่อว่าอัตราส่วนหนี้ต่อเงินทุนของ IMF
จะอยู่ที่ 3 ต่อ1
เมื่อวิกฤติครั้งหน้ามาถึง...มันมีความเป็นไปได้ว่าจะใหญ่กว่าวิกฤติของธนาคารกลาง IMF จะเป็นสภาพคล่องเพียงแห่งเดียวของโลก
ลองมาพิจารณาทางนี้ดู ธนาคารกลางมีแท่นพิมพ์..สามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาได้ ธนาคารกลางของยุโรปก็มีโรงพิมพ์ก็สามารถพิมพ์เงินยูโรออกมาได้ ส่วน IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ก็จะพิมพ์เงินออกมาเช่นกัน พวกเขายังสามารถพิมพ์สิ่งที่เรียกกันว่า สิทธิพิเศษในการถอนเงิน (Special Drawing Right / SDR) ออกมาในระยะสั้นได้อีก SDR นี้สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นสกุลเงินสำรองใหม่ได้
เหตุผลที่พวกเขาเรียกว่า สิทธิพิเศษในการถอนเงินนี้เพราะว่าถ้าเรียกว่า “เงินโลก” แล้ว ฟังดูมันน่าตกใจเล็กน้อย ซึ่งจริงๆแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ นี่คือประเด็น
นี่อาจจะเป็นแผนการสิบปีก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงสิบปีหรอก หายนะจะเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นอีก พวกเขากำลังปัดฝุ่นโครงการอยู่ ...ตัดบางเรื่องออกและทำให้ SDR ด้อยค่าลงไป แล้วก็พิมพ์เงินออกมาอีกนับแสนล้านเหรียญเพื่อค้ำจุนระบบ
ตอนนี้...ถ้าธนาคารกลางให้ความช่วยเหลือแก่หนี้ภาคเอกชน เมื่อปี 2008... และ IMF ก็ให้ความช่วย เหลือแก่ธนาคารกลางจากความหวั่นวิตกทางการเงินในครั้งต่อไป
ใครบริหาร IMF ? ใครคือผู้รับผิดชอบที่แท้จริง? คงเป็นกลุ่มคนดีเช่นพวกกษัตริย์ พวกเผด็จการ พวกคอมมิวนิสต์ ที่ไม่ได้รับเลือกมา ไม่มีความรับผิดชอบ
และนี่คือจุดล่อแหลมอันต่อไป ที่จริง IMF ได้เข้าควบคุมระบบการเงินของโลกและกำลังจะกลายไปเป็นธนาคารกลางของโลกไปแล้ว ได้พิมพ์เงินออกมาที่เรียกว่า SDR
สตีฟ : จิม.. จุดล่อแหลมเหล่านี้…. การโจมตีตลาดพันธบัตรและเปโตรดอลลาร์ของเรา.. การเก็บทองของจีนอย่างลับๆ... ความล้มเหลวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของจีน... ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้เตือนไว้ในงานเขียนของคุณ เกี่ยวกับเงินดอลลาร์ของเรา...ขยายไปถึง IMF...
สิ่งที่คุณได้เปิดเผยไว้ในหนังสือ เป็นเพียงแค่สะกิดอย่างผิวเผินเท่านั้น อย่างไรก็ตาม..เรื่องสำคัญๆ ซึ่งผมได้จากหนังสือของคุณคือการละเลยสิ่งที่เป็นจุดล่อแหลมที่จะปลดปล่อย 25 ปีแห่งภาวะเศรษฐ กิจตกต่ำ ผู้คนต้องการทำความเข้าใจถึงการมาของมัน และมาอย่างรวดเร็ว
จิม : สตีฟ นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน มันมีภาระกิจในหนังสือเล่มนี้ ความเร่งด่วน และความสำคัญของมัน ที่เรากำลังจะพูดถึง
ความตกต่ำอย่างยาวนาน(ประกอบด้วย)
ภาวะเงินฝืดที่รุนแรง
การว่างงานที่รุนแรง
การล่มสลายของธนาคาร
ภาพการณ์ล่วงหน้าของตลาดหุ้นที่ตกถึง70%
เหตุการณ์เหล่านี้จะเริ่มเกิดในอีกหกเดือนข้างหน้า
ลองมามองกันแบบนี้ ตอนนี้ประชาชนชาวอเมริกันกำลังยืนอยู่ที่ตีนภูเขาสูง...ภูเขาหิมาลัย ภูเขาคิริมานจาโร และเมื่อระยะครึ่งหนึ่งของความสูงของมัน เกิดหิมะถล่มขนาดใหญ่ดิ่งตรงมายังเรา ลองพิจารณาถึงเกร็ดหิมะแต่ละเกร็ด...นั่นเป็นจุดล่อแหลมจุดหนึ่งที่กำลังเป็นตัวเร่งความเร็วของความโกลาหลนี้ เราไม่ควรพิจารณาในจุดนี้ เรายอมรับความรุนแรงของสถานการณ์ และควรจะหลบไปยังที่ปลอดภัย ดังนั้น สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือช่วยให้ประชาชน ยึดถือในสิ่งที่เขามี ซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะทำในส่วนที่ยากที่สุด
สตีฟ : จิม.อย่างที่คุณทราบ รายการ มันนี่ มอร์นิ่ง เชื่อมั่นในหนังสือของคุณที่ได้เตือนภัยต่อสาธารณะ เราอยากจะส่งสำเนาเรื่อง ความตายของเงิน: หายนะภัยของระบบการเงินระหว่างประเทศกำลัง ใกล้เข้ามา ให้แก่ทุกๆคนที่กำลังเฝ้าชมการสัมภาษณ์ครั้งนี้ หนังสือเล่มนี้ราคา 28 เหรียญ ผมขอบอกก่อนว่า เวอร์ชั่นที่เราส่งให้นั้น มีเนื้อหาแตกต่างจากเล่นที่ขายอยู่ตามร้านทั่วไปนะครับ
จิม : (เสริม) เหตุผลค่อนข้างจะธรรมดา สิ่งที่เราพูดกันวันนี้ ไม่ชัดแจ้งเท่ากับการอ่าน หนังสือได้ทำการ สำรวจทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่รวมส่วนแรก มันเป็นสิ่งที่เราเรียกร้องให้รัฐบาล– และให้ทำความชัดเจนต่อสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า - "วันหลังจากแผน" เหล่านี้จะอธิบายถึงสิ่งที่อเมริกาและรัฐบาลของเราจะเป็นเช่นไรเมื่อเศรษฐกิจของเราพังทลายลงมา
ตอนนี้ผมมีบทร่างซึ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ขณะนี้ที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ชื่อว่า “วันหลังจากแผนการณ์ ที่ไม่เป็นความลับ ” ซึ่งผมไม่ได้เพิ่มเข้าไปในเล่มที่พิมพ์ครั้งแรก เนื่องจากยังเป็นที่โต้เถียงกันอย่างกว้างขวาง
ภาพที่ผมวาดก็ไม่สวย แต่ผมจะรวมบทนี้ไว้ที่นี่ เพราะท่านผู้ที่กำลังชมการสัมภาษณ์ต้องการที่จะเห็นเนื้อข่าวที่เป็นจริงและภาพการณ์ข้างหน้าด้วย(scenarios)
สตีฟ : คุณเลยทำเวอร์ชั่นใหม่ของหนังสือไปด้วย คุณได้ออกวีดีโอ หกตอน ที่ชื่อว่า “ความตายของเงินอย่างละเอียดแบบดิจิตอล”
จิม :
นี่ไง...ผมใส่ไปในนั้นด้วย มันเป็นไปไม่ได้นะไม่ว่าผมหรือใครก็ตามที่ร่วมงานกับผม ที่จะบอกอย่างชัดเจนถึงวันเวลาที่หายนะภัยจะเริ่มขึ้น แต่เรารู้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังมา และมาในเร็วๆนี้ด้วย
มันมีสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนว่ามันปรากฏขึ้นในเศรษฐกิจของเรา..ในตลาดของเรา เรื่องนี้ชัดเจน
ดังนั้น...ข้ามเรื่องวีดีโอชุดนี้ไปก่อน เราผ่านสัญญาณสำคัญ 7 ประการกันมาแล้ว ผมให้ดูสัญญาณนั้นอย่างชัดเจน จากแผนภูมิต่างๆ
คำแถลงต่างๆที่ท่านได้ฟังจากรัฐบาลต่างๆในโลกและกองทุนสำรองของธนาคารกลาง
ผมตรวจสอบอย่างละเอียด ไปถึงจุดล่อแหลมที่สามารถจุดชนวนหายนะในทางเศรษฐกิจของเรา
ผมค้นพบความลับของฟองสบู่(ทางเศรษฐกิจ)ที่ไม่มีใครพูดถึง
ผมแบ่งปันงานวิจัยจากหน่วยข่าวกรอง เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของรัสเซีย จีน และอิหร่านในการต่อต้านอเมริกา
เรื่องนี้มีความสำคัญมาก วีดีโอชุดนี้ผมช่วยผู้คนวิเคราะห์พอร์ทโฟลิโอ ในการลงทุนของพวกเขา ชี้แจงพวกเขาว่าจะจัดแจงแบ่งสรรอย่างไรให้สอดคล้องกับภาพการณ์ต่างๆ เพราะว่ามันอยู่ในสภาวะจุดเดือด...มันระเหยได้ง่าย(สภาพที่ผันแปรได้ง่าย )
เอ่าละ..ผมจะทบทวนว่าคุณควรจะมีพอร์ทโฟลิโอในเซ็คเตอร์ใดบ้างในตลาดหุ้น..ตลาดโลหะมีค่า และจังหวะที่จะทำรายได้...
ที่ไหนบ้างในต่างประเทศที่จะลงทุน มันเป็นการทดสอบกันทีละจุดของแต่ละพื้นที่เหล่านี้
สตีฟ : พวกเราต้องการสำเนาหนังสือของคุณโดยด่วน บทที่ยังไม่ได้พิมพ์น่ะ และกลวิธีหกอย่างในดิจิตอลอย่างละเอียดสำหรับผู้ที่ชมอยู่ทุกๆท่าน มันเป็นส่วนหนึ่งในการริเริ่มที่โดดเด่นมาก คุณเรียกว่าอะไร
คุณช่วยนำเสนอภารกิจที่เรียกว่า “โครงการพยากรณ์” ให้แก่ CIA เป้าหมายคือการจำแนกสัญญาณต่างๆในตลาดเงิน และเศรษฐกิจ ที่คุกคามประเทศของเรา
ด้วยการ เริ่มดำเนินโครงการพยากรณ์ขึ้นใหม่ คุณกำลังประยุกต์หลักการที่ว่านั้นเพื่อช่วยผู้คนทุกๆวันสร้างกำแพงที่แข็งแกร่งมั่นคงขึ้นคุ้มกันความมั่งคั่งของพวกเขา ให้เรามาพูดถึงสิ่งที่คุณได้สร้างสรรค์ขึ้นมา
จิม : สตีฟ..ผมตระหนักเป็นอ่างมากว่าสิ่งที่ผมเปิดเผยในวันนี้จะเกิดความตื่นตระหนกต่อระบบ แต่อเมริกากำลังเผชิญกับช่วงยุคที่มืดมนที่สุด ที่ไม่มีทางหลีกพ้นไปได้ และผู้คนจะมีความจำเป็นที่จะใช้มาตรการบางอย่างมาปกป้องตนเอง บางทีอาจจะนอกเหนือไปจากความสะดวกสบายในชีวิตปกติ ดังนั้น..ผมจึงเข้ามาร่วมในที่นี้ หนังสือของผมในบทที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ และรายละเอียดในดิจิตอลจะให้ภาพที่กว้างขึ้น ซึ่งผู้คนจำเป็นต้องรู้เป้าหมายที่แท้จริงในการลงทุนและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง พวกเขาจำเป็นต้องคิดใหม่ว่าจะดูแลการเงินของพวกเขาได้อย่างไร
เพื่อจะช่วยพวกเขา ผมได้เตรียมข่าวกรองชุดหนึ่งมาสรุปให้ฟัง แรกสุดคือสิ่งที่เรียกว่า ” โครงการ พยากรณ์ความมั่งคั่ง พิมพ์เขียวของกระทรวงกลาโหม” คำชี่นำสี่ประการ และ แต่ละคำชี้นำผมได้เจาะจงเป้าหมายในการลงทุน
สตีฟ : ลองมาตรวจสอบกัน ในแต่ละเรื่อง
จิม : ข้อเสนอแนะแนะข้อที่ 1
หาที่หลบภัยจากการตกต่ำของดอลลาร์
การลดค่าของดอลลาร์ครั้งต่อไป...ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก ดอลลาร์เกือบจะพบกับหายนะโดยสิ้นเชิงเมื่อปลายทศวรรษที่ 1970 ระหว่างปี 1977 และ 1981 ในระยะ 5 ปี อัตราเงินเฟ้อสะสมเท่ากัน 50%.
ถ้าคุณมีประกันภัย สิทธิที่จะได้รับประโยชน์ ไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นรายได้ที่คงตัว เงินเกษียณ เงินออม ของคุณจะลดค่าลงไปครึ่งหนึ่งในช่วงสั้นๆ
ขณะที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ น่าจะทรุดลงไปถึง70 หรือ 80% ทีอาจมากกว่านี้ ทางที่ดีที่สุดการถือเงินในขณะที่ดอลลาร์ตก และนี่ที่ผมมุ่งไปยังข้อสรุป...คือไปลงทุนเป็นเงินยูโร สิ่งที่คนทั่วไปควรเข้าใจ คือเงินยูโรนั้นไม่ใช่โครงการทางเศรษฐกิจ แต่เป็นโครงการทางการเมือง และการเมืองในที่นั้น ถูกชี้นำจากเยอรมัน เงินยูโรจึงมีค่าเท่ากันทุกประเทศ(ที่ใช้ยูโร) เรามีแผนภูมิจริงที่แสดงให้เห็นถึงการสูงค่าของเงินยูโรนั้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ดังนั้นการพูดคุยถึงการอ่อนค่าของเงินยูโรนั้นเป็นแค่จินตนาการ ในความเป็นจริง ยูโรนั้นแข็งค่าขึ้น
เอาละ ทุกท่านรู้ว่าสหรัฐอเมริกา มีทองคำอยู่ 8,000 ตัน แต่ยุโรปมีทองคำถึง10,000 ตัน
ยุโรปเป็นผู้ที่ถือครองทองคำใหญ่ที่สุดในโลก และพวกเขาใช้ทองคำจริงๆหนุนค่าเงินยูโร ตอนนี้ พวกคุณจะได้ไม่ต้องไปเปิดบัญชีกับธนาคารยุโรปเพื่อลงทุนเงินยูโร ในโครงการพยากรณ์ฯ ผมได้ แนะนำกองทุนพิเศษที่มีค่าเป็นสองเท่าเมื่อดอลลลาร์ตกเทียบกับเงินยูโร
นี่คือวิธีเล่นแบบป้องกันที่แข็งแกร่งมาก เพราะคุณจะได้รับผลตอบแทนกลับมาเป็นสองเท่าทั้งจากการตกของเงินดอลลาร์และการแข็งค่าของเงินยูโร
สตีฟ: เอาละ...เรามาพูดถึงการชี้แนะข้อที่สองต่อไป
จิม : ข้อเสนอแนะข้อที่สอง
ให้วางแผนป้องกันไว้เสมอเมื่อคราวตลาดตกต่ำ
ตลาดหุ้นกำลังจะตกลงไป 70% ตอนนี้หมายความว่าคุณไม่ควรถือหุ้นไว้หรือ? คนควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่มันก็มีทางที่จะใช้ตัวตลาดเองเป็นตัวข่ายของความปลอดภัย ผมเสนอให้เรามุ่งเป้าไปที่กลุ่มหุ้นซึ่งเรามีประสบการณ์ในเรื่องที่เกิดความเสียหายที่รุนแรงที่สุด ได้แก่กลุ่มการเงิน บริษัททั่วไปจะถือหุ่นส่วนใหญ่เป็นตราสารอนุพันธ์ ซึ่งจะตกเร็วและแรงมากกว่าหุ้นชนิดอื่นทั้งหมด ผมได้ตรวจสอบกองทุนพิเศษทีได้กล่าวมา ว่ามีน้ำหนักมากในกลุ่มการเงิน
มันมีค่าสูงขึ้น3% ของทุกๆ 1% เมื่อหุ้นกลุ่มการเงินถดถอย ดังนั้นเมื่อลดลงลง 25%นั่นหมายถึง จำนวน 75% กลับไปยังกองทุนนี้ และถ้ามันลดลงที่ 70% ทีนี้คุณจะได้เห็นผลตอบแทนที่ 210%
กองทุนนี้ คุณสามารถใช้ทุนจำนวนเล็กน้อยเสริมการป้องกันความเสียหายในกรณีที่ตลาดถึงจุดแตกหัก มันเป็นการประกัน(ความเสียหาย) ที่ดีเลิศ
สตีฟ : ทีนี้เรามาพูดถึงข้อชี้แนะลำดับที่สาม
จิม : ข้อเสนอแนะข้อที่3
ลงทุนในสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
เมื่ออเมริกาประสบกับปัญหาสภาพการณ์ข้างหน้า(scenario)ที่เลวร้ายเช่นนี้ เราได้พยากรณ์ไว้ในหน่วยข่าวกรองไว้ว่า...ประชาชนต้องการอาหาร พวกเขาไม่สามารถหยุดการใช้พลังงาน พวกเขาไม่สามารถหยุดความต้องการสินค้าที่จำเป็นและบริการต่างๆ นี่คือสิ่งที่ประชาชนแสวงหา
ดังนั้นในการบรรยาย...ผมเสนอให้ลงทุนในเรื่องน้ำ เนื่องจากคนเราไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เมื่อขาดน้ำดังนั้นเราจึงได้เห็นการริเริ่มลงทุนในเรื่องน้ำ ในส่วนนี้เริ่มเป็นกระแสแรงขึ้นเมื่อปี 2009 ที่เพิ่มขึ้นถึง 200%.
ผมมุ่งเป้าไปยังบริษัทที่ดำเนินกระบวนการก่อสร้างแนวท่อที่ยาว 47,000 ไมล์ ผ่าน 16 รัฐ และ 1500 ชุมชน ตอนนี้มันเป็นเหมือนยักษ์กำลังหลับอยู่หลับ กระบวนการเกียวกับน้ำนี้มีส่วยแบ่งมากขึ้นทุกๆปีมันสูงขึ้นถึง 55% ไปแล้ว และ.. เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาซื่งเราไม่อาจขาดมันได้...นอกจากน้ำแล้วข้อสรุปยังโฟกัสมุ่งไปยังบริษัทที่เริ่มกิจการเกี่ยวกับเหตุการฉุกเฉินทางการแพทย์ เนื่องจากมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก
สตีฟ : จิม..คุณยังเหลือคำชี้แนะอยู่อีกข้อหนึ่งที่จะสรุปประเด็น
จิม : ใช่ครับ...อาวุธลับของ วอร์เรน บัฟเฟท
ข้อเสนอแนะข้อที่ 4
มุ่งเป้าไปที่บริษัทที่มีทรัพย์สินที่มั่นคงที่สุด
คุณก็ทราบดีว่า วอร์เรน บัฟเฟท มีชื่อเสียงประหนึ่งคุณลุงผู้ใจดีที่มีวาจาสิทธิ์แห่ง โอมาฮา และเป็นเพื่อนที่ดีของนักลงทุนในตลาดหุ้น แต่เมื่ออยากจะเป็นเศรษฐี อย่าไปสนในในสิ่งที่พวกเขาพูดแต่ให้สังเกตสนใจว่าพวกเขาทำอะไร การเข้ามาถือสิทธิ์ล่าสุดของ วอร์เรน บัฟเฟท เมื่อเร็วๆนี้ เป็นที่ประ จักษ์ เมื่อสองสามปีก่อนเขาได้เข้าซื้อกิจการเดินรถไฟของบริษัท เบอร์ลิงตัน นอร์เทิร์น ซานตาเฟ เขาซื้อทั้งหมดเป็นของตนเอง เส้นทางการเดินรถไฟคืออะไร?ไม่ใช่อะไรอื่นแต่เป็นสินทรัพย์มั่นคง
ที่ดินสองฟากทางรถไฟตลอดสายนั้นมี ไร้ท ออฟ เวย์ส( right-of-ways /สิทธิ์ผ่านทาง) สิทธิในการทำเหมืองแร่ คลังพัสดุ สนาม ลานไก ระบบสัญญาณ ทั้งหลายนี้ล้วนแต่เป็นทรัพย์สินถาวรทั้งสิ้น กิจการเดินรถนี้มันทำเงินให้อย่างไร? มันแปรทรัพย์สินถาวรเหล่านี้ให้เป็นไปในรูปของ ค่าระวาง ถ่านหิน ข้าวสาลี ข้าวโพด เหล็ก ปศุสัตว์ ฯลฯ
ดังนั้นทางรถไฟจึงเป็นสุดยอดของสินทรัพย์มั่นคง อะไรต่อไปที่ วอร์เรน บัฟเฟท ได้ถือครองกรรม สิทธิ์อีก? เขาซื้อแหล่งผลิตน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ นี่เป็นสินทรัพย์มั่นคงอีกอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาสามารถขนส่งน้ำมันของเขาโดยรถไฟโดยไม่ต้องอาศัยท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนเลย เมื่อคุณสามารถบรรทุกน้ำมันร้อยตู้โดยรถไฟ นั่นหมายถึงการติดล้อให้แก่ท่อส่งน้ำมัน
เขาเป็นผู้ที่ไม่ให้ราคาเงินกระดาษ เก็บแต่สินทรัพย์มั่นคงไว้ในรูปของ ทางรถไฟ น้ำมัน และก๊าสธรรมชาติ มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับ วอร์เรน บัฟเฟทและดีสำหรับคนอเมริกัน นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในยามที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะงักงัน ผมมีรายชื่อของ 6 บริษัทชั้นนำที่มีแผนเกี่ยวกับสินทรัพย์ถาวรอยู่ในรูปแบบของธุรกิจ
สตีฟ : ข้อสรุปด้านข่าวกรองคุณอันที่สองได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า โครงการพยากรณ์ฯ เฝ้าดู หุ้น 30 ตัว ที่กำลังจะทรุดหนักลงไปในไม่ช้า ช่วยบอกหน่อย
จิม : โครงการฯ ต้นแบบสำหรับ CIA เราได้สร้างระบบแทรคกิ้ง โดยติดตามหุ้นอยู่ 400 ตัว ดูเหมเหมือนว่าจะมีสัญญาณ ในการโจมตีอเมริกา แต่เท่าที่ติดตามดูในปีนี้ เรามองเห็นการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางปริมาณของมัน เพื่อระบุว่าบริษัทเหล่านี้กำลังอยู่ในถาวะอันตรายที่จะทรุดลง
ข้อสรุปด้านข่าวกรองได้เปิดเผยว่ามี 30 บริษัทที่อยู่ระดับต้นๆในบัญชีรายชื่อ เอาละ เมื้อท่านผู้ชมได้เห็นหุ้นเล่านี้ อาจจะมีอาการช๊อค หุ้นพวกนี้ไม่ได้มีมูลค่าตลาดน้อย ที่จะสามารถทำให้ตลาดเกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางได้ แต่นี่เป็น 30 ตัวที่มีการถือครองหุ้นอย่างกว้างขวางที่สุดในบัญชีของชาวอเมริกันผู้ปลดเกษียณ และ 401ks*(*อันนี้ไม่รู้ว่าคืออะไร?)ของชาวอเมริกันทุกคน
ส่วนมากเป็นหุ้น blue chip (บลูชิป คือหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัยมากในการลงทุน ไทยก็เรียกทับศัพท์ว่าหุ้นบลูชิปเช่นกัน...ผู้แปล). นั่นย่อมหมายถึงว่า บางที..ท่านที่กำลังชมอยู่นี้อาจถืออยู่ หนึ่งตัว สองตัว หรือมากกว่านั้น และมันกำลังมีความเสี่ยงในการถูกโจมตีทำลาย
ตอนนี้ ในบัญชีรายชื่อของหุ้นทั้ง 30 ตัว ผมคัดออกมา 10 ตัว กำลังอยู่ในฐานะเตือนภัยระดับสูงสุด(สีแดง) นี่หมายความว่าถ้าวันนี้คุณถือมันอยู่ คุณก็ไม่ควรถือมันไว้จนถึงพรุ่งนี้ เพราะมันไปไม่ได้อีก มันถึงจุดเสี่ยงที่จะล้มเหลวไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่สิ่งเลวร้ายกำลังจะปรากฏขึ้น
สตีฟ : เอาละ มาสรุปถึงข่าวกรองที่คุณสร้างขึ้นเรื่อง “โครงการพยากรณ์สินทรัพย์ถาวรและสาระสำ คัญทางการเงินในส่วนบุคคล”
จิม : ผมสนับสนุนประชาชน ถ้าพวกเขายังไม่พร้อมและไม่มีความพร้อมที่จะทำเช่นนั้น ที่จะเริ่มสำรวจ และเพิ่มสินทรัพย์ถาวรในพอร์ทโฟลิโอของตน ข้อสรุปของหน่วยข่าวกรองนั้นครอบคลุมทั้งหมดรวม ไปถึงฟาร์มเกษตร วัตถุโบราณ ศิลปะมีค่า รวมถึงเงินตรา และโลหะมีค่าทั้งหลาย
สตีฟ : ผมอยากจะโฟกัสไปที่โลหะมีค่าชนิดหนึ่งโดยเฉพาะทองคำ ในหนังสือของคุณได้เปิดเผยว่าจีนประสบความสำเร็จในการจัดการกับราคาทองให้ลดลงอย่างไร ในขณะที่เก็บทองคำสำรองไว้ในโกดัง แต่คุณก็ยังมั่นใจและมีความหวังกับมันอีก แม้ว่าคุณได้เขียนว่าค่อนข้างจะอันตรายที่ประชาชน จะลงทุนในเรื่องทองคำ
จิม : มันเป็นเรื่องของสมัยนิยมไปแล้ว ในสองสามปีมานี้ในการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมทองคำ(ETFs. exchange-traded fund ) ทองคำเป็นตัวแทนแสดงราคาสินค้า ตรรกโดยผิวเผินแล้วมันดูมีเหตุผล คุณสามารถถือทองคำได้โดยไม่ต้องถือกรรมสิทธิ์ในด้านกายภาพของมันและไม่ต้องเก็บสะสมเองด้วย
คุณสามารถ..กระทั่ง..โดยทฤษฎีแล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็บอกคุณว่า คุณสามารถรับเงินสดจากการขายหุ้นกองทุนรวม(ทองคำ)ของคุณได้ในอนาคตถ้าคุณต้องการ นี่เป็นปัญหาหนึ่ง... ซึ่งมันไม่จริง คนอเมริกันเดี๋ยวนี้ไม่มีความสามารถจะทำเช่นนั้นได้
นี่คือวิธีการคิดเกี่ยวกับตลาดทองคำ ลองนึกถึงภาพปิรามิดที่กลับหัวกลับหาง จุดแหลมปลายยอดจะอยู่ด้านล่าง ส่วนฐานที่ใหญ่จะพลิกกลับขึ้นไปอยู่ข้างบน จุดรองรับของรูปทรงคือทองคำซึ่งเป็นฐานที่เล็กกระจิ๋วหริว ส่วนด้านบนนั้นจะเป็นทองคำกระดาษ พวกมันคืออะไรล่ะ?
การเช่าซื้อ
Unallocated gold forwards (อันนี้ไม่ทราบและไม่เข้าใจความหมายครับ..ผู้แปล)
ทองคำของอนาคต
สิทธิในการซื้อทองคำในอนาคต
กองทุนรวมทองคำ
ทั้งหมดนี้เรียกว่า ทองคำกระดาษ สิ่งที่พวกเขาให้คุณก็คือสิทธิในสัญญาแบบมีพันธะผูกพัน แต่ไม่มีหลักประกันใดๆที่ว่าคุณจะได้ถือตัวทองคำที่เป็นวัตถุ เอาละ...ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับ ปิรามิดที่นับวันยิ่งโตขึ้น แต่ปริมาณของทองคำที่เป็นวัตถุและอุปาทานเทียมนั้นขาดหายไป
เมื่อทองคำเคลื่อนจากโกดังของ GLD (กองทุนซื้อขาย-แลกเปลี่ยนทองคำ)ไปยังโกดังของจีนที่เซียงไฮ้ อย่างที่มันเป็น นั่นหมายความว่ามันเคลื่อนจากตะวันตกไปยังตะวันออกเป็นจำนวนมหึมา เมื่อมันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ มันก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอุปาทานเทียม อีกต่อไป ทองคำจำนวนนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันอีกเลย อย่างน้อยก็เป็นเวลาหลายๆปี
ดังนั้นอุปาทานรวมของทองคำอาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่อุปาทานเทียมจะลดลง นั่นหมายถึงว่าอิฐก้อนเล็กๆที่เป็นฐานของปิรามิด(ที่กลับหัว)นั้นมีแต่เล็กลง เล็กลง
หนึ่งในสองเรื่องจะเกิดขึ้น ถ้าปิรามิดกระดาษไม่หดตัว ทั้งหมดก็จะสั่นสะเทือนและล้มคว่ำลง
ถ้าคุณมีกองทุนรวมทองคำอยู่ คุณก็จะมีแค่ตัวหุ้น และก็จะมีแต่ตัวหุ้นไปตลอด คุณจะไม่ไม่มีโอกาสได้ถือทองคำแท้ๆเลย ดังนั้นบทสรุปของหน่วยข่าวกรองนี้ ผมบอกให้ท่านผู้ชมทำตัวอยู่ห่างๆจาก ETFs. (รายชื่อของกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำอเมริกัน) เลย ผมพูดถึงเหรียญโลหะมีค่าที่พวกเขาต้องการไปแสวงหาโดยเร่งด่วน
สตีฟ : ตอนนี้เรามาทดสอบว่าผู้ชมจะทำอย่างไรที่จะสร้างปราการป้องกันการเงินของพวกเขาจากช่วงเวลาที่อันตรายกำลังใกล้เข้ามานี้
จิม : นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถ้าคุณจะปกป้องตัวเองด้วยการลงทุน อย่า ใช้มาตรการเพียงอย่างเดียวมาจัดการเงินทุนส่วนตัวของคุณ คุณจะได้สัมผัสผลอย่างเดียวกันและมันจะไม่เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งไม่อาจจะรับผิดชอบ ธนาคารที่คุณเลือกใช้บริการเก็บเงินของคุณ ขณะนี้ก็อยู่ในสถานะวิกฤติ เพราะธนาคารเองก็ไม่สามารถเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ได้ไม่ว่าปีหน้าหรือปีต่อไป ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันยังลุกลามออกไป
ผมได้พูดถึงธนาคารที่ปลอดภัยที่สุดและเครดิต ยูเนียน พวกนี้ไม่ล้มหรอกคุณควรจะมั่นใจได้ว่าคุณมีเงินอยู่ในนั้น ผมแสดงให้ท่านผู้ชมได้เห็นทาง ซี ดี และโอกาสที่จะรักษาทำรายได้แบบเก่าที่ปลอดจากความเสี่ยง ผมพูดถึงสิบเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในอนาคต เหล่านี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่เข้มแข็งที่สุดสำหรับเศรษฐกิจท้องถิ่น
มันมีอุตสาหกรรมที่สามารถจ้างงานได้ ปัญหาอาชญากรรมมีน้อย และมันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการอยู่อาศัย แม้จะอยู่ในช่วงที่มืดมน ผู้ที่เกษียณแล้วควรจะหาที่อยู่ใกล้ๆบริเวณเหล่านี้ รวมถึง..ผมได้ตรวจสอบว่าอาชีพไหนเป็นอาชีพที่ปลอดภัยที่สุด เพราะการว่างงานจริงและและการทำงานที่ไม่เต็มเวลานั้นยังคงเกิดขึ้นทั่วไปและจะเลวร้ายยิ่งขึ้น
สตีฟ : คุณ จิม ริกคาร์ดส์ สิ่งที่คุณเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์วันนี้ไม่ใช่การปลุกในระยะสั้น ขอ ขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้มาร่วมรายการกับเรา
จิม : ด้วยความยินดีครับ...สตีฟ
สตีฟ : วันนี้ คุณ จิม ริกคาร์ดส์ ได้ก้าวเข้ามาเตือนพวกเราเกี่ยวกับหายนะภัยที่กำลังจะย่างกรายเข้ามา ทางหน่วยข่าวกรองกลัว..ว่ามันกำลังอยู่หน้าประตูของเราแล้ว อย่างที่คุณเห็น..เขาได้ช่วยผู้ฟัง อยู่ทุกวันทั่วประเทศให้เตรียมตัว และเรารายการ มันนี่ มอร์นิ่ง ต้องการที่จะทำในส่วนของเราด้วย
ที่ว่า ทำไมเราจึงส่งสำเนาทุกสิ่งที่จิมได้เตรียมไว้ให้ท่านฟรี ถึงสิ่งที่เรียกว่า โครงการพยากรณ์ 2.0 แผนที่ 2 รวมถึง
-
หนังสือขายดีของสำนัก นิวยอร์ค ไทม์ เรื่อง “ความตายของเงินตรา” “การพังทลายของระบบการเงินระหว่างประเทศ”
-
การโต้แย้งของบทที่ไม่ได้พิมพ์ “วัน .หลังจากแผนการถูกเปิดเผย”
-
วีดีโอหกตอนเรื่อง “The Death of Money Digital Debriefing”
-
โครงการพยากรณ์พิมพ์เขียวของการป้องกันความมั่งคั่ง
-
โครงการพยากรณ์ รายการเฝ้ามองโครงการพยากรณ์ สินทรัพย์มั่นคงและการเงินของเอกชนฉบับย่อ
ให้ท่าน click here เพื่อสิทธิ์ได้รับ โครงการพยากรณ์ 2.0 แผน2…ฟรี
ผมเรียกร้องอย่างจริงจังให้ท่านทำ เพราะว่าถ้า จิม และผู้ร่วมงานที่ เพนตากอน และ CIA รวมไปถึงสำนักงานข่าวกรองทั้งหมด..ถูกต้อง จะไม่มีเวลาเหลืออยู่ในการปกป้องตัวเอง ถ้าท่านสนใจเรียกร้องสิทธิ์ในสำเนาของท่าน ง่ายๆ โทร .... 1.866.460.9039 or 1.443.353.4384 (for international callers) from 9 am to 5 pm (Eastern Time) – and be sure to mention Priority Code WMMRQ944.
ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมในวันนี้ ผม สตีฟ ไมเออร์
ขอให้ปลอดภัยครับ