Monday, January 23, 2017

ยุทธศาสตร์ของอเมริกา vs การแก้เกมของจีน ตอนที่ 6/6 จบ

ตอนสุดท้าย
9. ปิดท้าย
Pivot to Asia เป็นแผนการที่เรียกสวยหรูว่า Rebalancing Policy for the New World Orderหรือนโยบายที่จะจัดความสัมพันธ์เพื่อระเบียบโลกใหม่ (ของอเมริกา โดยอเมริกา และเพื่ออเมริกา) ที่มีเนื้อแท้เป็น แผนการปิดล้อมและควบคุมจีนของอเมริกา นั่นเอง ในที่นี้หมายถึง การย้ายจุดหนักจากแนวทางการทูตมาสู่แนวทางการทหาร, ในทางพื้นที่ หมายถึง ย้ายจากจุดอิทธิพลที่อเมริกามีอยู่เดิมในยุโรปและตะวันออกกลาง มาสู่เอเชียในพื้นที่เล็ก ๆ ที่เรียกว่าทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา, ในทางเวลา หมายถึง จาก อย่างค่อยเป็นค่อยไป มาสู่ อย่างรวดเร็วฉับพลัน ครั้งเดียว

โดยสรุปPivot to Asia มีความหมายว่า อเมริกาจะมุ่งตัดสินปัญหาความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวงกับจีน ด้วยการทำสงครามทางทะเลที่มีชอบเขตจำกัด (ไม่ขยายไปสู่สงครามนิวเคลียร์) ด้วยการเข้าควบคุมปิดช่องแคบมะละกา และล่อกองทัพเรือจีนที่อเมริกาเชื่อว่ามีความอ่อนด้อยกว่าอเมริกาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ให้ออกมาปกป้องอธิปไตยเหนือหมู่เกาะปะการังและหินโสโครกในทะเลจีนใต้ เพื่อที่อเมริกาจะได้ทำลายเสียในครั้งเดียวด้วยกำลังทางเรือที่อเมริกาวางกำลังซุ่มอยู่ในแปซิฟิกตะวันออก ซึ่งจะมีผลบังคับให้จีนต้องยอมเจรจาภายใต้เงื่อนไขที่อเมริกาเป็นผู้กำหนด เหมือนกับที่ญี่ปุ่นกระทำกับจีนในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ ปี 1895 

เพื่อที่จะให้แผนการนี้เกิดขึ้นเป็นจริงอเมริกาโดยกระทรวงกลาโหมจึงต้องเคลื่อนย้ายกำลังทั้งปวงมารวมศูนย์ไว้ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะที่มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศให้การสนับสนุนส่งเสริมบทบาทของ NATO ในยุโรปควบคุมรัสเซีย และซาอุดิอาระเบียรวมทั้งกลุ่มพันธมิตรอาหรับ เข้ามีบทบาทในตะวันออกกลางควบคุมอิหร่าน  อย่างไรก็ดีอเมริกาโดยกระทรวงกลาโหมก็ได้วางกำลังจำนวนมากไว้ในอัฟกานิสถานตอนเหนือ และให้ NATO วางกำลังทหารไว้ในอัฟกานิสถานตอนใต้ เป็นลิ่มชี้ไปทางเอเชียกลาง

บทบาทของ Obama ในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเพียงการแสดงสร้างภาพทางการเมืองที่ทำให้อเมริกาเป็นเหมือนผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยที่ปรารถนาสันติภาพเท่านั้น เพื่อคานบทบาทของจีนในภูมิภาคนี้ โดยให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แก่อินเดีย และไม่ได้ให้การสนับสนุนทางวัตถุที่เป็นกอบเป็นกำใด ๆ แก่ประเทศอาเซียนอย่างจริงจัง จนกระทั่งObama ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคู่กับอองซานซูจี
แม้กระทั่งการสนับสนุนให้ฟิลิปปินส์ ทำการต่อต้านจีน นำเรื่องกรณีพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้กับจีน ยื่นต่อ คณะอนุยาโตตุลาการระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การแทรกแซงของอเมริกาเมื่อถึงเวลา โดยที่อเมริกาไม่ได้ตอบแทนฟิลิปปินส์เท่าที่ควรนอกจากความช่วยเหลือทางทหารในรูปของการฝึกและเรือรบเก่าไม่กี่ลำ เนื่องจากอเมริกาไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ฟิลิปปินส์หรือประเทศใด ๆ มีส่วนโดยตรงในแผนการทำลายกองทัพเรือจีน

และแล้วการถอนความสนใจหลักออกจากยุโรปและตะวันออกกลาง ส่งผลให้รัสเซียต้องไปร่วมมือกับจีน ซึ่งถือว่า ทำให้ ความพยายามแยกรัสเซียออกจากจีนที่อเมริกาทำมาครึ่งศตวรรษ ต้องล้มครึนลงในชั่วพริบตา การเข้าส่งออกประชาธิปไตยของ NATO ฝ่ายตุรกีเข้าไปในซีเรียก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองซีเรีย และการขยายอิทธิพลของซาอุดิอาระเบียเข้าไปสู่อิรักและซีเรียไปคานอิทธิพลอิหร่านกลายเป็นการส่งออลัทธิวาหะบี และลัทธิก่อการร้าย กลายเป็นขบวนการ ISIS คุกคามอิทธิพลของอเมริกาในอิรักเสียเองทำให้อเมริกาถอนตัวออกจากตะวันออกกลางไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นซาอุดิอาระเบียยังเปิดศึก 2 ด้าน ก่อสงครามโจมตีเยเมนโดยพลการ การสร้างสงครามกลางเมืองในซีเรีย โดย NATO และซาอุดิอาระเบียนี่เองทำให้ อัสซาด ๆม่มีทางเลือกต้องขอให้รัสเซียเข้ามาช่วยรัสเซียจึงมีทางออกแหกวงล้อมNATO ในยุโรปเปิดการรุกที่ช่องว่างปลายปีกทั้ง 2 ข้างของอเมริกาที่ซีเรีย (ปลายปีกด้านหนึ่งของอเมริกาคือ NATO ในซีเรีย และปลายปีกอีกด้านหนึ่งของอเมริกา คือ ซาอุดิอาระเบีย ที่ปลายปีกทั้ง 2 ข้างใกล้บรรจบกันพอดีที่ซีเรีย ในขณะที่ตัวตรงกลางและหัวของอเมริกาอยู่ที่ ทะเลจีนใต้) อเมริกาจึงทำอะไรไม่ได้เพียงเท่านี้Pivot to Asia ก็ล้มลงโดยพื้นฐานแล้ว

ในขณะเดียวกันจีนก็เปิดเข็มมุ่งOne Belt, One Road ล่ออเมริกาให้เคลื่อนกำลังเกือบทังหมดไปรวมศูนย์ไว้ที่ทะเลจีนใต้โดยหวังที่จะทำลายทัพเรือจีนและปิดช่องแคบมะละกาในการรบณจุดเดียวและครั้งเดียวเหมือนกับคราวที่ญี่ปุ่นทำลายกองทัพเรือจีนในทะเลเหลืองในการรบที่ปากแม่น้ำยาลูในทะเลเหลืองเมื่อวัน 17 กันยายน 1894ส่งผลให้จีนพ่ายแพ้ญี่ปุ่นในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 (สิงหาคม 1894 – เมษายน 1895) บังคับให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิเมื่อวันที่ 17 เมษายน 1895 สูญเสียเกาหลีและไต้หวันพร้อมกับต้องจ่ายค่าปรับสงครามเป็นจำนวนมหาศาลให้ญี่ปุ่นPivot to Asia ในปี 2013 ของอเมริกาก็มีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน

เมื่อเริ่มต้นPivot to Asia อเมริกาก็ได้ผลักให้รัสเซียไปร่วมมือกับจนในขณะที่Obama ป้วนเปี้ยนอยูในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้Kerry กำลังหัวปั่นวิ่งวุ่นอยู่ในยุโรปและตะวันออกกลางและCarter กำลังจดจ่ออยู่ที่ทะเลจีนใต้One Road ของจีนก็บรรลุข้อตกลงทางการค้าพลังงานและการพัฒนาระบบสาธารณูประโภคการขนส่งและการทหารกับรัสเซียอิหร่านและประเทศเอเชียกลางและจีนก็ได้ระดมทรัพยากรทั้งหมด ไปรวมศูนย์และกระจายอยู่ในเอเชียกลาง อย่างเงียบ ๆ
จนกระทั่งมีข่าวว่า “จีนได้เริ่มเดินรถไฟขนส่งสินค้าขบวนแรกไปยังกรุงลอนดอนสหราชอาณาจักรแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2017”ข่าวนี้หมายความว่าอย่างไร... หมายความว่า เข็มมุ่ง One Road ของจีนได้บรรลุเป้าหมายโดยพื้นฐานแล้ว ทำให้การขนส่งสินค้าบนเส้นทางสายไหมใหม่เป็นไปได้และเกิดขึ้นเป็นจริงเรียบร้อยแล้ว จีนบรรลุหลักประกันการเคลื่อนที่ทางบกในยูเรเชีย 

ก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวสำคัญ คือ
วันที่ 15 สิงหาคม 2016 จีนส่งดาวเทียมสื่อสารระบบควันตัม(Quantum Experiments at Space Scale – QUESS) ขึ้นสู่วงโคจร เทคโนโลยีการสื่อสารระบบควันตัมนี้ จะทำให้ไม่มีใครสามารถดักการฟังและถอดรหัสการสื่อสารของจีนได้
วันที่ 16 ตุลาคม 2016 จีนส่งมนุษย์อวกาศ 2 นายไปปฏิบัติงานในในสถานีอวกาศ Tiangong-2 และมนุษย์อวกาศทั้ง 2 นายสามารถกลับลงมาสู่โลกอย่างปลอดภัย เมื่อวันที่ 18พฤศจิกายน 2016 หลังจากอยู่ในอวกาศเป็นเวลา 32 วัน ในระหว่างนั้นมีการถ่ายทอดสดสภาพของมนุษย์อวกาศ เป็นระยะ แต่ไม่มีเสียง และมีข่าวว่า NASA ไม่สามารถตรวจจับการสื่อสารใด ๆ จากสถานีอวกาศ Tiangong-2 ได้เลยนอกจากสัญญาณที่จีนต้องการจะให้จับได้
ในวันที่ 16 ธันวาคม 2016 มีข่าวว่าเรือจีนจับยานโดรนใต้น้ำของอเมริกาได้ในทะเลจีนใต้ โครงการโดรนใต้น้ำของอเมริกานี้ เป็นโครงการลับสุดยอดที่อเมริกาใช้เงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ในการพัฒนา เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสุดของกองทัพเรืออเมริกา มีคำถามว่า จีนใช้เทคนิคอะไรที่จะสามารถจับโดรนใต้นำของอเมริกาได้
ทั้ง 3 ข่าวเป็นเพียงตัวอย่าง ที่บอกใบ้ให้อเมริการู้ถึง สมรรถภาพทา
งการทหารของจีน ซึ่งอเมริกาจะต้องชั่งใจให้ดีก่อนตัดสินใจก่อสงครามกับจีน ...


จบบริบูรณ์

บันทึกท้ายเล่ม

 [1]   ฐานะการเป็นฝ่ายกระทำและฝ่ายถูกกระทำคัดจากหมายเหตุผู้ตัดสำเน่า  ในนิพนธ์เหมาเจ๋อตุงเรือง ปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามจรยุทธ์ต่อต้านญี่ปุ่น (พฤษภาคม ๑๙๓๘), สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง เล่ม ๒ ตอนต้น ฉบับภาษาไทย สำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ปักกิ่ง  ๑๙๖๘, ฉบับเผยแพร่ใหม่ ๒๐๑๖ สำนักพิมพ์สื่อแสงสว่าง
ฐานะการเป็นฝ่ายกระทำและฝ่ายถูกกระทำ นี่เป็นหัวข้อยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ที่มีผลต่อการปฏิวัติ  รวมไปถึงการแก้ปัญหาประจำวันในชีวิตส่วนตัวของปัจเจกบุคคล ไปถึงระดับยุทธวิธี ทั้งในทางการเมืองและการทหาร ในทางประวัติศาสตร์ พลังการผลิตของมนุษย์ที่ก้าวหน้ามาจนทุกวันนี้ ก็เกิดจากความต้องการที่มนุษย์จะเป็นฝ่ายกระทำต่อธรรมชาติ ในขณะที่ต้องทนเป็นฝ่ายถูกการกระทำจากธรรมชาติตลอดมา
เป็นธรรมดาของกฎความขัดแย้ง ที่มี ๒ ด้านที่ตรงกันข้ามกันดำเนินความสัมพันธ์กันทั้งที่เป็นแบบปฏิพัทธ์ (เกื้อกูลกัน) หรือแบบปฏิปักษ์ (ต่อสู้กัน) ณ ขณะหนึ่ง ๆ ด้านหนึ่งจะดำรงเป็นด้านหลักและอีกด้านหนึ่งเป็นด้านรองเสมอ  ด้านหลักจะเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของด้านรอง  ภาวะนี้เรียกว่า “ฝ่ายกระทำ” ส่วนด้านรองที่ถูกกำหนดโดยด้านหลักเรียกว่า “ฝ่ายถูกกระทำ”(โปรดอ่าน “ว่าด้วยความขัดแย้ง” ในสรรนิพนธ์เหมาเจอตุง เล็มที่ ๑ ตอนปลาย)
ฝ่ายกระทำมีเสรีภาพสามารถกำหนดให้ฝ่ายถูกกระทำเคลื่อนไหวไปตามความต้องการของตนได้ เช่นเราต้อนควายไปเลี้ยงในทุ่งหญ้า เราเป็นฝ่ายกระทำ และควายเป็นผู้ถูกกระทำ แต่เมื่อควายเตลิดหนีไปทุ่งอื่นเราต้องตามไปต้อนควายกลับมา ในเวลาเช่นนี้ ควายเป็นผู้กระทำ บังคับให้เราต้องไล่ติดตามควายไป ตอนนี้ เราเป็นผู้ถูกกระทำ อย่างไรก็ตามในสภาพทั่วไป เราก็ยังเป็นฝ่ายกระทำอยู่แต่สูญเสียความเป็นฝ่ายกระทำไปชั่วคราวเท่านั้น
ปัจจัยของความเป็นฝ่ายกระทำก็คือ เสรีภาพที่จะกระทำหรือไม่กระทำการใด ๆ ในความสัมพันธ์กับฝ่ายตรงกันข้าม นั่นคือ เสรีภาพในการเคลื่อนไหวตามอำเภอใจของเราและในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลอำนาจกำหนดให้ฝ่ายตรงกันข้ามเคลื่อนไหวไปตามที่เราต้องการ
เส้นแบ่งระหว่างความเป็น “ฝ่ายกระทำ” กับ “ฝ่ายถูกกระทำ” นั้นบางมาก ด้านที่ฝ่ายกระทำ อาจเปลี่ยนไปเป็นฝ่ายถูกกระทำ ได้ในชั่วพริบตา หากค้านนั้นสูญเสียความสามารถในการยึดกุมเงื่อนไขปัจจัยในการเป็นฝ่ายกระทำของตนไปแม้เพียงชั่วพริบตา ในขณะเดียวกันในด้านที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็สามารถช่วงชิงเงื่อนไขปัจจัยในการเป็นฝ่ายกระทำมาได้ในชั่วพริบตานั้นมาเป็นของตนได้ก็จะกลายเป็นฝ่ายกระทำไปในทันที ภาวะเช่นนี้เรียกว่า “จุดพลิกผัน”
“จุดพลิกผัน” นี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นจุดที่ฝ่ายถูกกระทำใช้ความพยายามไปช่วงชิง เงื่อนไขปัจจัยในการเป็นฝ่ายกระทำมาได้
การเป็นฝ่ายกระทำ มีได้ทั้งในทางการเมืองและการทหาร โดยทางประวัติศาสตร์และยุทธศาสตร์แล้วฝ่ายปฏิวัติเป็นฝ่ายประทำ และฝ่ายปฏิกิริยาเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ในระยะผ่านทางประวัติศาสตร์นี้ ฝ่ายปฏิวัติและฝ่ายปฏิกิริยาผลัดเปลี่ยนกันเป็นฝ่ายกระทำกันไปมา โดยเฉพาะในตอนเริ่มแรกของการปฏิวัติ ชนชั้นปกครองปฏิกิริยาได้กระทำการกดขี่ต่อประชาชนผู้ถูกปกครอง ฝ่ายปฏิกิริยาเป็นฝ่ายกระทำ จนทำให้เกิดการต่อต้านการกดขี่ของผู้ปกครองโดยประชาชน ตอนนี้ฝ่ายประชาชนกลับเป็นฝ่ายกระทำ  จากนั้นฝ่ายผู้ปกครองก็ปราบปรามการต่อต้านของประชาชน ผู้ปกครองเป็นฝ่ายกระทำ ..... จนกระทั่งถึงเกิดสงครามปฏิวัติของประชาชน ฝ่ายปฏิวัติจึงเป็นฝ่ายกระทำ จนการปฏิวัติได้รับชัยชนะ ผู้ปกครองถูกกระทำจนต้องถูกโค่นล้มออกไป นี่เป็นท่วงทำนองประวัติศาสตร์ ตลอดระยะประวัติศาสตร์ ประชาชนผู้ถูกกดขี่จะตอบโต้และพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายกระทำในที่สุดเสมอ
เมือในทางประวัติศาสตร์ และทางยุทธศาสตร์ ฝ่ายปฏิวัติเป็นฝ่ายผู้กระทำ ปัญหาแท้จริงกลับมาเป็นในทางยุทธวิธี ที่มักก่อความเสียหายที่ไม่จำเป็นต่อฝ่ายปฏิวัติ เนื่องจากไม่สามารถยึดกุมยุทธศาสตร์การเป็นฝ่ายกระทำไปใช้ได้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากไม่มีวิธีคิด ไม่มีความสันทัดจัดเจน หรือไม่มีอะไรเลย แม้มีดุลกำลังเหนือกว่า เป็นฝ่ายกระทำตั้งแต่เริ่มต้น ในตอนท้ายก็มักตกอยู่ในสภาพฝ่ายถูกกระทำเสมอ  
อเมริกาเป็นตัวอย่างของการไม่มีวิธีคิด ไม่ว่าในเวียดนาม อัฟกานิสถาน และอิรัก เริ่มเป็นฝ่ายกระทำ รุกเข้าไปยึดได้แล้ว แต่แล้วในที่สุดก็ตั้งรับรอแต่การโจมตีของข้าศึก ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ข้าศึกมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหว และเลือกรบกับฝ่ายอเมริกาในเวลาและสถานที่ที่ตนเองได้เปรียบที่สุด และไม่ยอมทำตามที่อเมริกาต้องการ ไม่ยอมรบในสนามรบที่อเมริกากำหนด ที่จะทำให้ตนสูญเสียฐานะการเป็นฝ่ายกระทำไป
โดยพื้นฐานแล้ว การเป็นฝ่ายกระทำ สัมพันธ์กับ การเคลื่อนที่ เมื่อหยุดการเคลื่อนที่ โอกาสที่จะเป็นฝ่ายกระทำ ก็น้อยลง เว้นแต่ฝ่ายเราจะมีดุลกำลังเหนือกว่าศัตรู และตั้งใจที่จะล่อศัตรูให้เข้ามาโจมตี ในพื้นที่ตั้งรับที่เราได้ตระเตรียมไว้แล้ว ตัวอย่างก็คือ การยุทธ์ที่เคอร์สค(Battle of Kursk) ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในรัสเซีย เมื่อเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๓ ที่รัสเซียล่อให้เยอรมันเข้าโจมตีแนวตั้งรับที่เตรียมเอาไว้อย่างดี เมื่อเยอรมันอ่อนกำลงลงแล้ว จึงใช้กำลังตีโอบปีกทั้ง ๒ ข้างของเยอรมัน บังคับให้เยอรมันต้องถอยไป ๆ ไกลถึง เบลโลรัสเซียใกล้ชายแดนโปแลนด์ อันเป็นจุดที่ เยอรมัน เริ่มต้นรุกรานรัสเซียในปี ๑๙๔๑ การพ่ายแพ้ที่เคอร์สค ทำให้เยอรมันหมดกำลังจนไม่สามารถทำการรุกโต้ได้อีกในแนวรบตะวันออก หมดสภาพและความสามารถการเป็นฝ่ายกระทำลงโดยสิ้นเชิง และพ่ายแพ้สงครามในที่สุด
แต่โดยทั่วไป การเป็นฝ่ายกระทำ สัมพันธ์กับ การเคลื่อนที่ การหยุดนิ่งอยู่กับที่ ยอมกลายเป็นเป้าให้ถูกกระทำได้ง่าย หมดความสามารถที่จะเป็นฝ่ายกระทำ  จักรพรรดินิยม และพวกปฏิกิริยามีพลังอำนาจสามารถเป็นฝ่ายกระทำในความขัดแย้งใด ๆ อย่างเช่นอเมริกา ไม่มีวิธีคิดอย่างนี้ ไม่เข้าใจยุทธศาสตร์การเป็นฝ่ายกระทำ ทุก ๆ สงครามที่อเมริกาเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็เริ่มต้นจากการเป็นฝ่ายกระทำ แล้วในที่สุดก็จบลงด้วยกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ เห็นได้ว่าอมริกาเป็นฝ่ายกระทำในขณะทำการรุก เมื่อการรบยุติลง อเมริกาก็หยุดเคลื่อนที่ แล้วยึดพื้นที่ตั้งรับ ในทางทหารก็ถือว่าเป็นปรกติ แต่ตามทรรศนะวิทยาศาสตร์ เห็นว่าการเมืองกับการทหารเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นกระบวนการเชื่อมต่อกัน เมื่อยุติการรบลง ก็ต้องเริ่มงานการเมือง อเมริกามีทรรศนะด้านเดียวไม่ทำการรุกต่อทางการเมือง เพื่อรักษาการเป็นฝ่ายกระทำของตนเอาไว้  การรุกทางการเมืองนี้เราหมายความว่า “การสร้างมิตร” แต่อเมริกากลับทำในทางตรงกันข้ามคือ “สร้างศัตรู” ปฏิบัติการปราบปรามพลเมืองในพื้นที่ยึดครองอย่างโหดร้าย.
การกระทำของอเมริกากลับเลวร้ายยิ่งกว่าผู้ปกครองเดิมเสียอีก จักรพรรดินิยมและพวกปฏิกิริยามองเห็นว่าประชาชนเป็นศัตรูไปหมด และพบว่าตัวเองถูกศัตรูล้อมเอาไว้ทุกด้าน จึงกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำไปโดยปริยาย สิ่งนี้เกิดขึ้นใน เกาหลี เวียดนาม อัฟกานิสถาน และอิรัก  ที่ในที่สุดจักรพรรดินิยมต้องพ่ายแพ้ในทุกสงคราม นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการไม่มีวิธีคิดที่ถูกต้อง ไม่เข้าใจเรื่อง การเป็น “ฝ่ายกระทำ” และการเป็น “ฝ่ายถูกกระทำ” ที่สัมพันธ์กับ “การเคลื่อนที่” และ “การหยุดอยู่กับที่” รวมทั้งความเชื่อมต่อกันของ การทหารและการเมือง
อ่านเพิ่มเติมในข้อ (๗๘) - (๙๐),ความเป็นฝ่ายกระทำ ความพลิกแพลง และความมีแผนการ,“ว่าด้วยสงครามยืดเยื้อ”, สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง เล่ม ๒ ตอนต้น. ซึ่งนำมาบรรจุไว้เป็น ภาคผนวก ต่อท้ายหมายเหตุท้ายบท หน้า 57
[2] ความสามารถใน“การระดมเคลื่อนที่รวมศูนย์และกระจาย”ทรัพยากรได้อย่างรวดเร็วเป็นเป็นความสามารถเฉพาะและพิเศษของจีน ที่พัฒนามาตั้งแต่สงครามปฏิวัติจีน (ปี 1927-1949) ที่เหมาเจ๋อตุงได้ให้ความสำคัญเป็นยุทธวิธีในการรบสงครามเคลื่อนที่ หลักการทางยุทธวิธีนี้ ได้พัฒนาไปเป็นยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ ของจีนในปัจจุบัน ที่ส่งผลให้จีนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเส้นทางคมนาคมอย่างขนานใหญ่ต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนในโลก เพื่อเอื้ออำนวยให้ ความสามารถใน “การเคลื่อนที่-รวมศูนย์-กระจาย” มีประสิทธิภาพสูงสุด
[3]ความไม่เชื่อมต่อกันของการเมืองกับการทหารเหมาเจ๋อตุงกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับการทหาร ไว้ในหัวข้อ สงครามกับการเมืองในนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง “ว่าด้วยสงครามยืดเยื้อ” (พฤษภาคม ๑๙๓๘), สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง เล่ม ๒ ตอนต้น:
สงครามกับการเมือง
(๖๓) “สงครามคือการต่อเนื่องของการเมือง”เมื่อกล่าวในแง่นี้แล้วสงครามก็คือการเมืองและตัวสงครามเองก็คือการปฏิบัติการที่มีลักษณะการเมือง.ตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมา ไม่มีสงครามใด ๆเลยที่ไม่มีลักษณะการเมืองติดอยู่.สงครามต่อต้านญี่ปุ่นเป็นสงครามปฏิวัติของทั้งประชาชาติชัยชนะของสงครามนี้มิอาจแยกออกจากจุดมุ่งหมายทางการเมืองของสงครามขับไล่จักรพรรดินิยมญี่ปุ่นออกไปและสถาปนาประเทศจีนใหม่ที่มีอิสรภาพและความเสมอภาคมิอาจแยกออกจากเข็มมุ่งทั่วไปที่ให้ยืนหยัดในสงครามต่อต้านและยืนหยัดในแนวร่วม มิอาจแยกออกจากการระดมประชาชนทั่วประเทศ,มิอาจแยกออกจากหลักการการเมืองต่าง ๆอาทิการให้นายทหารกับพลทหารเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันการให้กองทัพกับประชาชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการทำให้กองทหารข้าศึกแตกสลายมิอาจแยกออกจากการปฏิบัติตามแนวนโยบายแนวร่วมเป็นอย่างดีมิอาจแยกออกจากการระดมทางวัฒนธรรม,มิอาจแยกออกจากความพยายามในการช่วงชิงการช่วยเหลือของพลังทางสากลและของประชาชนในประเทศคู่อริ. พูดสั้น ๆ ก็คือสงครามนั้นจะแยกออกจากการเมืองไม่ได้แม้สักขณะเดียว.ในหมู่ทหารต่อต้านญี่ปุ่นถ้ามีความโน้มเอียงที่ดูเบาการเมืองโดยถือว่าสงครามเป็นสิ่งโดดเดี่ยวจนกลายเป็นพวกสัมบูรณ์นิยมในสงครามแล้ว ก็เป็นการผิด ควรที่จะแก้เสีย.
(๖๔) แต่ว่า สงครามก็มีลักษณะพิเศษของมันเองเมื่อกล่าวในแง่นี้แล้ว สงครามก็มิใช่ว่าจะเท่ากับการเมืองทั่ว ๆ ไป.“สงครามคือการต่อเนื่องของการเมืองด้วยวิธีการพิเศษ”.เมื่อการเมืองคลี่คลายถึงขั้นที่แน่นอนขั้นหนึ่งไม่สามารถจะรุดหน้าต่อไปเช่นเดิมได้อีกแล้ว ก็ระเบิดเป็นสงครามขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคบนเส้นทางการเมืองให้หมดไป. เป็นต้นว่าฐานะกึ่งเอกราชของประเทศจีนเป็นอุปสรรคในการคลี่คลายทางการเมืองของจักรพรรดินิยมญี่ปุ่น ญี่ปุ่นต้องการจะขจัดอุปสรรคนี้ออกไปฉะนั้นจึงได้ก่อสงครามรุกรานขึ้น. ส่วนประเทศจีนการกดขี่ของจักรพรรดินิยมเป็นอุปสรรคของการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนของจีนมานานแล้ว,ฉะนั้นจึงได้มีสงครามปลดแอกเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งด้วยความพยายามที่จะขจัดอุปสรรคนี้ไปเสีย. ขณะนี้ญี่ปุ่นใช้สงครามมากดขี่หมายจะมาตัดเส้นทางที่แล่นไปสู่การปฏิวัติของจีนให้ขาดสะบั้นลงโดยสิ้นเชิงเราจึงจำต้องเข้าทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นตัดสินใจแน่วแน่ที่จะขจัดอุปสรรคนี้ไปเสียให้พ้น. เมื่ออุปสรรคถูกขจัดไปจุดมุ่งหมายทางการเมืองบรรลุผลแล้ว,สงครามก็ยุติ.ถ้าอุปสรรคยังขจัดไม่หมดสิ้นสงครามก็ยังจะต้องดำเนินต่อไปเพื่อบรรลุผลให้ตลอด. เป็นต้นว่าถ้าภาระหน้าที่ในการต่อต้านญี่ปุ่นยังมิได้ปฏิบัติให้ลุล่วงไปแล้วมีผู้คิดจะหาทางประนีประนอม ก็ย่อมจะสำเร็จไปไม่ได้เป็นแน่; เพราะถึงแม้ว่าจะได้ประนีประนอมกันด้วยเหตุบางประการ,แต่สงครามก็ยังจะต้องเกิดขึ้น ประชาชนอันไพศาลจะไม่ยอมเป็นแน่จะต้องทำสงครามต่อไปเพื่อให้จุดมุ่งหมายทางการเมืองของสงครามบรรลุผลโดยตลอด. ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า,การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือดและสงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด.
(๖๕) เนื่องจากลักษณะพิเศษของสงคราม จึงต้องมีการจัดตั้งพิเศษชุดหนึ่งวิธีการพิเศษชุดหนึ่งและกระบวนการพิเศษชนิดหนึ่งสำหรับสงคราม.การจัดตั้งนี้ก็คือกองทัพและสิ่งทั้งปวงที่ติดพ่วงมากับกองทัพ.วิธีการนี้ก็คือยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ชี้นำสงคราม.กระบวนการนี้ก็คือรูปการการเคลื่อนไหวทางสังคมชนิดพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งกองทัพที่เป็นคู่อริต่างเข้าตีหรือตั้งรับซึ่งกันและกันโดยนำเอายุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เป็นผลดีแก่ตนและไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึกมาใช้. ดังนั้นความจัดเจนจากสงครามจึงเป็นความจัดเจนพิเศษ.บรรดาผู้ที่เข้าร่วมในสงครามจะต้องสลัดความเคยชินตามปรกติเสียและให้ชินกับสงคราม จึงจะสามารถช่วงชิงชัยชนะจากสงครามได้.
[4]สงเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมเหมาเจ๋อตงกล่าวว่า “ความต้องการประการสุดท้ายในการถอยนั้นก็คือ ก่อให้เกิดและค้นพบข้อผิด พลาดของข้าศึก. ต้องรู้ไว้ว่า ผู้บังคับบัญชาของกองทัพข้าศึกที่ปรีชาสามารถคนใดก็ตาม จะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นบ้างในระยะเวลายาวนานพอดูนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้  ด้วยเหตุนี้ ความเป็นไปได้ที่เราจะฉวยเอาช่องโหว่ของข้าศึก มาใช้ให้เป็นประโยชน์จึงมีอยู่เสมอ.  ข้าศึกทำผิดพลาดได้ เช่นเดียวกับที่บางครั้งเราเองก็ผิด พลาดไป และบางครั้งก็เปิดช่องโหว่ให้ข้าศึกฉวยเอาไปใช้เป็นประโยชน์ ฉะนั้น. ยิ่งกว่านี้ เรายังสามารถทำให้กองทัพข้าศึกเกิดความผิดพลาดขึ้นด้วยน้ำมือของเราเองได้ด้วย  เช่น ประเภทที่ ซุนจื่อ เรียกว่า “แสดงร่องรอย” (แสดงร่องรอยทางตะวันออก, แต่เข้าตีทางตะวันตก คือสิ่งที่เรียกว่า ทำทีจะบุกทางตะวันออก, แต่แล้วเข้าตีทางตะวันตก).”
ดูนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง, ปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามปฏิวัติของจีน (ธันวาคม ๑๙๓๖), บทที่ ๕การรับทางยุทธศาสตร์, ตอนที่ ๓ การถอยทางยุทธศาสตร์
[5]. The Lebanon War 2006 (12 กรกฎาคม –14 สิงหาคม 2006) อิสราเอลโจมตีเลบานอนโดยมีเป้าหมายที่จะยึดครองภาคใต้ของประเทศเลบานอน และทำลายขบวนการเฮสบอลลาห์(Hezbollah) ที่อิหร่านให้การสนับสนุน  อย่างไรก็ตาม อิสราเอลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เสียรถถังไป 79 คัน  แต่อิสราเอลถูกช่วยเอาไว้โดยมติสภาความมั่นคงองค์การสหประชาชาติที่ 1701 (UNSCR 1701) ให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติสงคราม นับแต่นั้นมากองทัพอิสราเอลจึงไม่อยู่ในสภาพเหมือนเดิมต่อไป
[6]..การเดินทัพทางไกล (红军长征) เป็นการเดินทัพของกองทัพแดง (กองทัพแดงกรรมกรชาวนา ด้านที่ ๑ หรือ กองทัพแดงส่วนกลาง  (红一方面军)) และศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากฐานที่มั่นโซเวียตเจียงซี ในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๑๙๓๔ ไปถึง เยนอานในภาคเหนือของส่านซี เมื่อวันที่ ๑๙-๒๒ ตุลาคม ๑๙๓๕ 
การเดินทัพทางไกล เป็นการถอยทางยุทธศาสตร์ ของศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองทัพแดง ที่มีความหมายยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ จากฐานที่มั่นโซเวียตเจียงซี  ลงไปกวางสี เลี้ยวเข้า กุ้ยโจว แล้ววกเข้า ยูนนาน ผ่านเสฉวน ข้ามภูเขาหิมะลงไปซีคัง (ทิเบต) ข้ามทุ่งมรณะ จนบรรลุถึง ภาคเหนือส่านซี รวมระยะทางกว่า ๑๒,๐๐๐ กิโลเมตร กินเวลา ตั้งแต่ เดือนตุลาคม ๑๙๓๔ ถึง ตุลาคม ๑๘๓๕ เริ่มจากกำลังพล ๘ หมื่นคนเมื่ออกจากเจียงซี  เมื่อไปถึงภาคเหนือส่านซี เหลือกำลังเพียง ๘ พันคนเศษ อย่างไรก็ตาม การเดินทัพทางไกล ครั้งนี้ก็ได้บรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ “รุกขึ้นเหนือ ทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่น”



การเดินทัพทางไกลนั้น มีจุดเริ่มต้นจากการถอยอย่างทุลักทุเลออกจากฐานที่มั่นโซเวียตเจียงซี จากการล้อมปราบครั้งที่ ๕ ของก๊กมิ่นตั๋ง ซึ่งศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ภายใต้การนำของกลุ่มฉวยโอกาสเอียงซ้าย “๒๘ บอลเชวิค” ที่มี ป๋อกู่ และหลี่เต๋อ (อ๊อตโต บรัน:ผู้แทนของคอมมินเทอร์น) เป็นแกนนำ ใช้แนวทางการทหารผิดพลาด ที่ทำให้กองทัพแดงที่ ๑ ต้องพ่ายแพ้ยับเยินและต้องถอยร่นออกจากฐานที่มั่นโซเวียตเจียงซี จากที่มีกำลังกว่า ๓ แสนกว่าคน ก่อนการล้อมปราบครั้งที่ ๕ ของก๊กมิ่นตั๋ง เหลือกำลัง ๘ หมื่นเมื่อเริ่มการถอยจากเจียงซี  เมื่อถอยทัพมาถึงเมืองจุนยี่ มณฑลกุ้ยโจว เหลือกำลังแค่ ๓ หมื่นคน ทำให้ศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์ต้องจัดให้มีการประชุมรอบขยายวงขึ้น เรียกว่า “การประชุมจุนยี่” ซึ่งถือว่าเป็นจุดพลิกผันครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและการปฏิวัติจีน ที่เหมาเจ๋อตง ได้รับเลือกกลับเข้าเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางฯ และคณะกรรมการปฏิวัติและการทหารของพรรค และที่ประชุมได้มีมติรับรองยุทธศาสตร์ของเหมาเจ๋อตง ให้เคลื่อนทัพขึ้นสู่ภาคเหนือ เพื่อดำเนินสงครามต่อต้านญี่ปุ่น 

No comments:

Post a Comment